ผมทำ 10 ข้อนี้กับการเงินส่วนบุคคล ด้วยวิธี Declutter Financial ผลลัพธ์น่าทึ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับผม

declutter financial

คุณรู้สึกไหมครับว่า ไม่ว่าจะยิ่งหาเงินเท่าไหร่ สุดท้ายสิ้นเดือนเงินแทบไม่เหลือเก็บสักที หรือพยายามตั้งใจเก็บเงินสะสมให้ถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน แต่เหมือนยิ่งเก็บเงินเป้าหมายก็ยิ่งเคลื่อนห่างออกไปจนแทบหมดแรง

ผมก็เช่นกันครับในช่วงแรกที่ผมหาเงินได้มากๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมแทบเก็บเงินไม่ได้เลย หรือเก็บได้น้อยมาก จนรู้สึกว่า ตัวเรานั้นจะหาเงินมากไปทำไม จนวันหนึ่งผมได้เข้าไปศึกษาความรู้เรื่อง Declutter Financial และลงมือทำอย่างจริงจัง 10 ข้อเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลของผม ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งเกิดขึ้นกับผมคือ…

ผมมีเงินเก็บมากขึ้น เดินเข้าใกล้เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้น (หลายสิบปี) และทำให้ให้ผมมีชีวิตที่เบาขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนครับ!

ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์แบบเดียวกันกับผม ลองมาแกะรอบ 10 วิธีที่ผมใช้จากความรู้เรื่อง Declutter Financial กัน และนำไปปรับปรุงการเงินส่วนบุคคลของคุณ เพื่อผลลัพธ์ที่อาจจะน่าทึ่งและยิ่งใหญ่กว่าของผม


1.กล้าที่จะเผชิญกับความจริงทางการเงิน

เมื่อพูดถึงเรื่องการเงิน สิ่งแรกที่ผมรู้สึกกลัวที่สุดในช่วงที่ผมมีรายได้มากที่สุดจากการเขียนบทความและการทำ affiliate คือ การเผชิญกับความจริงทางการเงิน ซึ่งในความหมายของผมคือ การจัดทำระบบบัญชีรายรับ-รายจ่าย แม้มันจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุดของผมเช่นกัน (เคยมีการสำรวจพฤติกรรมการจดบัญชีครัวเรือนในเขตบางกะปิ กทม. พบว่า มีผู้สนใจทำบัญชีรับจ่ายยาวนานกว่า 4 ปี เพียงร้อยละ 58.5 และทำมา1-2 ปี เพียงร้อยละ 23.5 เท่านั้น)

จนวันหนึ่งเมื่อผมเริ่มรู้สึกว่ารายจ่ายต่าง ๆ ของผมมันดูสูงมาก และไม่รู้ว่ามันวิ่งออกไปทางไหนบ้าง ความเครียดถาโถมเข้าทางจิตใจ จนในแต่ละวันผมแทบไม่อยากเปิดมือถือ (เพราะทนฟังเสียง SMS ตัดเงินไม่ไหว)

ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาปฏิวัติระบบการเงินของตนเอง และหนึ่งในหลายๆข้อที่ผมเริ่มทำในช่วงแรก ๆ เลยคือ การทำระบบบัญชีรายรับ-รายจ่ายครับ

ผมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ในการค้นหารายรับของผมว่ามาจากทางไหนบ้าง และรายจ่ายของผมที่ออกไปทางไหนบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อทำรายการออกมา ผมมีรายจ่ายที่ไร้สาระซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งเกิดจากการดาวน์โหลด app จาก iPhone เช่น โปรแกรมการทำ IF ที่ตัดเดือนละกว่า 200 บาท โดยที่ผมไม่เคยใช้งานจริงเลย หรือ แม้กระทั่งการเป็นสมาชิก Netflix แบบพรีเมียม ที่ตัวผมก็แทบไม่ได้ดูในแต่ละเดือน

ยังไม่รวมรวยจ่ายประหลาด ๆ เช่น การสั่งน้ำชาเขียวสุดโปรดที่ผมมักเรียกว่า “น้ำอร่อย” สั่งเป็นประจำทุกวัน ทำให้ผมต้องจ่ายค่าส่วนบริการมากถึงเดือนละ 3,000 บาท หรือปีหนึ่งเทียบเท่ากับตั๋วเครื่องไปกลับ กรุงเทพ-ญี่ปุ่น ชั้น premium ของ low cost!

ลองดูตารางด้านล่างนี้สิครับ และนี่คือรายจ่ายประหลาดที่ผมพบหลังจากทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย

ค่าแอพ I.F.239 บาท/เดือน
ค่า YouTube Premium179 บาท/เดือน
ค่าแอพ Netflix Premium (4K)419 บาท/เดือน

การกำจัดอสูรกายที่น่ากลัวที่สุด ให้ง่ายที่สุด คือกำจัดตอนที่มันยังเป็นตัวอ่อนหรืออยู่ในไข่ ตอนนี้ผมค้นพบอสุรกายที่เป็นตัวอ่อนเหล่านั้นแล้ว แล้วผมสามารถกำจัดมันออกไป ผลที่เกิดขึ้นทันทีคือ รายจ่ายต่อเดือนของผมลดลงทันที!

ใช้แล้วครับ

แค่เราทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย รายจ่ายต่อเดือนของเราก็จะลดลงทันทีอย่างน้อยะ ๆ 10-30% ซึ่งผลที่ตามมาคือ ผมเห็นคุณค่าของเงินแต่ละบาทมากขึ้น และไหวตัวทันเมื่อสุรกายเริ่มฟักไข่ตัวใหม่ออกมา (รายจ่ายฟุ่มเฟือยใหม่)

ผมจัดการฆ่ามันทันที ไม่ปล่อยให้มันเติบโต

นอกจากนี้มันยังสร้างกำลังใจอย่างมหาศาลในการเก็บเงินเพิ่มในแต่ละเดือนของผม เพราะผมรู้สึกว่า ผมสามารถควบคุมระบบการเงินได้ง่ายขึ้น ทุกอย่างอยู่ในคอนโทรลของผม

ดังนั้นถ้าคุณยังไม่ได้เริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมอยากให้รวบรวมความกล้าขึ้นมา และประกาศตน ลงมือทำมันเลย เดี๋ยวนี้! ขอเวลาสัก 2ชั่วโมง เขียนรายการรับ และรายการจ่ายออกมาให้หมด

อย่าสนว่ามันจะเป็นรายการจ่ายเพียงเล็กน้อยเช่น ค่าอาหารแมวข้างทางที่คุณซื้อขนมแมวเลียให้กินเดือนละ 200 บาท หรือ เงินที่คุณซื้อสลากรัฐบาลเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 80 บาท เป็นต้น

เขียนมันออกมา โดยผมแนะนำให้เขียนลงสมุดมากกว่าทำใน App เพราะมันจะได้ความรู้สึกที่ดีกว่า เมื่อคุณทำเสร็จคุณจะเห็นตัวอสุรกายที่ทำลายการเงินของคุณ และคุณสามารถกำจัดมันออกได้เหมือนกับผม

แล้วจากนั้นก็ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายทุกวัน

เพียงเท่านี้ผลลัพธ์แบบเดียวกันกับที่ผมได้รับ ก็จะเกิดขึ้นกับคุณเช่นเดียวกันครับ


2.นับของที่ไม่ใช้แล้วขายมันซะ

ตอนผมเริ่มอินกับการทำ Declutter Financial สิ่งแรก ๆ ที่ผมทำถัดจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย คือการค้นหาสิ่งของที่ผมไม่ใช้แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเงินสด!

ตอนแรกที่ผมเริ่มทำกิจกรรมนี้ผมไม่คิดว่าผมจะมีทรัพย์สินหรือของที่ไม่ได้ใช้อะไรมากมายนัก และมันคงขายไม่ได้มูลค่าเท่าไหร่ แต่พอผมตัดสินใจทำ Declutter Financial อย่างจริงจัง ด้านล่างนี้คือรายการของที่ผมไม่ได้ใช้ และมูลค่าที่ขายได้ผ่าน Facebook Marketplace!

กล้อง Canaon 5D markII+เลนส์เทพ 2-3 ตัว50,000 บาท
นาฬิกาหรู Rolex submariner380,000 บาท
เลททองคำฝังเพชร165,000 บาท

ไม่น่าเชื่อครับว่ามันจะเป็นเงินได้มากขนาดนี้

คุณอาจรู้สึกเสียดายที่ทำไมผมไม่เก็บของเหล่านี้ไว้ใช้ แต่ถ้าเราพิจารณาจริงๆแล้ว ของเหล่านี้ผมแทบไม่เคยแต่เลยมากกว่า 30 วัน และการที่ผมได้มันมา ก็เพราะเพียงแค่อารมณ์ฟินในตอนจังหวะที่เราจ่ายเงินและได้มันมาเท่านั้น

แต่เมื่อเราตัดสินใจจริงจังที่จะขายมันและเปลี่ยนมันเป็นเงินสด

สิ่งที่ผมได้รับคือ ผมมีเงินก้อนเพิ่มขึ้น และเงินก้อนนี้สามารถนำไปเก็บไว้ในบัญชีฉุกเฉิน 12 เดือน (เพราะผมเป็นฟรีแลนซ์ จึงควรใช้เงินสำรอง 12 เดือน) ซึ่งเงินก้อนนี้มีประโยชน์กับคุณภาพชีวิตผมมากกว่า

อีกทั้งผมพบว่า มันทำให้ผมเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเต็มเร็วขึ้น ทำให้มีเวลาไปโฟกัสกับการหาเงินเพื่อสะสมให้ถึงยอดอิรภาพทางการเงินเร็วขึ้นมาก

และที่สำคัญมันเพิ่มคะแนนความรู้สึกดีต่อตนเองอย่างมหาศาลครับ

กิจกรรมนี้ยิ่งทำยิ่งสนุก เพราะมันเหมือนกับเราได้ลดจำนวนของที่ไม่ได้ใช้งาน บ้านของผมจะโล่งขึ้น มีพื้นที่ว่างทางิตใจและความคิดมากขึ้น โฟกัสกับงานดีขึ้น (อ้างอิงวิจัย: usu.edu)

มันรู้สึกดีจนผมอยากให้คุณทำตอนนี้เลยหลังจากอ่านบทความจบ บางทีคุณอาจถูกรางวัลที่ 2 ทันที โดยไม่ต้องซื้อหวยรัฐบาล เพียงแค่กำจัดของที่ไม่ใช้และขายมันซะ! ตอนนี้เลย ก็เป็นไปได้ครับ


3.ตั้งเป้าตัวเลขแห่งอิสรภาพทางการเงิน

ข้อที่สามนี้เป็นเรื่องใหญ่ และผมอาจชวนคุณคิดในมุมที่แตกต่างจาก กูรูการเงินทั่วไปครับ ซึ่งในข้อก่อนหน้านี้คุณจะได้ยินผมพูดถึงเป้าหมายตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งอาจทำให้คุณคิดไปถึงการลงทุนในกองทุนรวม หุ้น หรือคริปโต

แต่ในความหมายที่ผมทำในปัจจุบันนั้น “ตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน” หมายถึง จำนวนเงินที่คุณมีในสินทรัพย์มั่นคงสูง อาทิเช่น เงินบาท, เงินดอลล่าร์, ทองคำ, Bitcoin อะไรก็ได้ที่คุณตัดสินใจว่ามันเป็นสินทรัพย์มั่นคงสูง

ขอแค่ 1 ตัวพอ แล้ว Deep focus ไปที่มูลค่าของตัวเลขนั้น ซึ่งสำหรับผมโฟกัสไปที่เงินบาท โดยเงินตัวนี้ไม่ได้มากจากการลงทุนเพื่อให้ไปถึง แต่มาจากการทำงานเท่านั้น แล้วนำรายได้ที่เกิดขึ้นจาก Active income และ Passive income ซื้อทรัพย์สินมั่นคงสูงนั้น จนถึงเป้าหมายตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน

โดยตัวเลขที่ได้คือจำนวนเงินที่ผมเพียงพอใช้จ่ายในแต่ละเดือนจนกระทั่งหมดอายุขัย (คิดที่ 85 ปี) ซึ่งตัวเลขนี้จะลดลงเรื่อยๆ หากคุณเริ่มคำนวณตอนอายุมากขึ้น

สำหรับผมที่อายุ 42 ปี และอยากใช้จ่ายเงินเดือนละ 50,000 บาทจนถึงอายุ 85 ปี ผมจะต้องใช้เงินจำนวน 32 ล้านบาท แน่นอนว่ามันอาจสูง แต่มันไม่สูงเกินกว่าความพยายามแน่นอนครับ

ถ้าคุณอยากได้สูตรคำนวณตัวเลขอิสรภาพทางการเงินของคุณ ผมทำสูตรมาให้แล้วข้างล่างนี้

ตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน = (รายจ่าย) x จำนวนเดือนที่ใช้

คุณลองแทนค่าตัวเลขลงไปในสูตรเลย แล้วดูสิครับว่า ตัวเลขอิสรภาพการเงินของคุณคือเท่าไหร่ อย่ากลัวที่จะเห็นตัวเลข อย่าไปกังวลว่า รายได้ต่อเดือนของเราแค่ 15,000 บาท หักรายจ่ายแล้วแทบไม่เหลือเก็บเลย จะคำนวณไปทำไม

อย่าเพิ่งถ่มถุยชีวิตของตนเองครับ คำนวณมันออกมา เมื่อคุณเห็นตัวเลข คุณจะเห็นเป้าหมาย เมื่อคุณเห็นเป้าหมาย ระบบการเงินต่อจากนี้มันจะมีค่ามากขึ้น และคุณจะค้นพบความจริงว่า บางทีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเป็นอายุน้อยร้อยล้าน พันล้านเลย บางทีเงินอิสรภาพของเราอาจอยู่แค่หลัก 3-10 ล้านบาทเท่านั้น!

และมันอยู่ในวิสัยที่เราหาได้แน่นอน

ผมพบว่าพอผมมีตัวเลขดังกล่าว สิ่งที่ผมได้รับคือ ผมไม่หลุดเป้าหมายการเงินอีกเลย ผมลดความเครียดทางการเงินลงมากกว่า 70% และผมไม่ถูกหลอกด้วยการลงทุนที่อาจทำให้ผมเสียเงินระหว่างทาง

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเตือนผมว่า คุณต้องระวังเงินเฟ้อนะ หรือทรัพย์สินที่คุณเลือกมันเสี่ยงนะ ถ้ามันเสื่อมค่าล่ะ เห็นค่าเงินของประเทศเวเนซูเอล่าไหม? ผมบอกเลยว่าไม่สนใจครับ ถ้าเราพิจารณาดีๆด้วยความตั้งใจ เราจะพบว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทำให้เราหลุดโฟกัสในเป้าหมายมากกว่า

เพราะเมื่อคุณมีเป้าหมาย

การเดินทางไปถึงเป้าจะไม่ได้ใช้เวลา 10-20 ปีข้างหน้าหรอกครับ

มันจะมีช่องทางเองที่เราจะทำให้มันสั้นลง เอาเข้าจริงตัวผมเองผ่านจุดล้านบาทไปโดยใช้เวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น แน่นอนว่าแต่ละคนมีหนทางไม่เหมือนกัน แต่มันไม่ยาก และผมการรันตีว่า เมื่อคุณมีเป้า คุณจะเดินเร็วกว่าเดิม 100 เท่า แน่นอน


4.กับดักการลงทุน (ชวนเชื่อ)

หนึ่งในหัวใจของการทำ Declutter financial คือ การ Deep focus ไปที่การทำงานเพียง 1 หรือ 2 อย่าง และสะสมทรัพย์สินมั่นคง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน ตามที่ผมเขียนไปแล้วในข้อ 3.

แต่หนทางนี้ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะผมเอง มักถูกแรงดึงจากเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเองมักเรียกว่ากับดักการลงทุนสำหรับคนที่เป็น minimalist ซึ่งหมายถึงการลงทุนแบบ FOMO สะเปะสะปะ

เช่น เมื่อคุณเห็นตลาดบิทคอยน์โต คุณก็เอาเงินที่คุณสะสมมาลงทุนโดยหวังว่ามันจะสร้าง leverage ไปให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น หรือคุณได้รับคำเชิญให้นำเงินมาลงทุนในธุรกิจออนไลน์ แล้วจะทำให้เงินคุณเติบโตมากยิ่งขึ้น

ผมเองได้รับแรงดึงจากกับดักการลงทุนมากมายเช่นกัน

แต่สิ่งที่ผมได้รับมาจริง ๆ เมื่อแบ่งเงินไปลงทุน คือ บางตัวช่วยผมเพิ่ม Leverage ได้จริง แต่หลายๆตัวก็ down leverage ของผมลงเช่นกัน มันทำให้ผมกลายเป็นคนภายเรือในอ่างแทนที่จะเป็นเรือที่แล่นตรงฉิวไปถึงเป้าหมาย

ผมกลับเสียเวลาทั้งความคิด และเวลาทำงานแบบ Deep work เพียง 1 หรือ 2 อย่าง ซึ่งทรัพยาการด้านเวลา ไม่สามารถหากลับคืนมาได้ด้วยวิธีใด ๆ เลย

ดังนั้นผมจึงตัดใจ เมื่อผมเลือกทรัพย์สินมั่นคง (ในความคิดผม) และงานที่ผมทำแบบ deep focus แล้ว ผมควรใช้เวลาทุ่มเทกับงานนี้และไปให้ถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินดีกว่า

เชื่อไหมครับว่า เมื่อผมเลิกฟังข่าวการลงทุน สัมมนาหาเงิน มาเหลือแค่จดจ่อกับการทำงานและเติมเงินเข้าระบบมากขึ้น

ทุกอย่างกลายเป็น Super focus ผมเหมือนขี่จรวด พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย! ใจผมสงบจากสมาธิที่มากขึ้น มั่นคงขึ้น เติมเต็มความรู้สึกด้านความภาคภูมิใจในคุณค่ามากขึ้น

ที่สำคัญมันทำให้สมองของคุณโล่ง ไมเกรนลดลง และมีพลัง!

อีกทั้ง ความรู้ทางการเงิน (financial literacy) ที่สูงขึ้นและทักษะ mental budgeting ส่งผลตรงต่อความรู้สึกพึงพอใจทางการเงิน (financial happiness & well-being) (อ้างอิง: PMC)

ผมไม่ได้ปฏิเสธการลงทุน แต่ผมแค่รู้สึกว่า ผมทำแบบนี้แล้วใจของผมกลับดีขึ้นกว่าการไปยุ่งกับมัน ซึ่งผมจะทำการลงทุนต่อเมื่อผมบรรลุเป้าหมายตัวเลขอิสรภาพการเงินแล้วเท่านั้นครับ


5.ควบคุมรายจ่าย

ตอนผมมีรายได้สูงระดับสามแสนบาทต่อเดือนจากการทำ affiliate ผมกลับมีรายจ่ายมากถึง สองแสนห้าหมื่นบาทต่อเดือน และในบางเดือนผมจ่ายเงินจนไม่เหลืออะไรเลย

นี่คือเหตุการณ์ก่อนผมทำระบบบัญชีรายรับ-รายจ่าย ซึ่งเมื่อผมตัดสินใจเข้าควบคุมระบบการเงิน ผมตัดสินใจควบคุมรายจ่าย และจากรายจ่ายส่วนตัวที่บวมขนาดหนัด ผมทำมันเหลือแค่ไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาท

ใช่แล้วครับ ไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาทเท่านั้น

การควบคุมรายจ่ายอย่างจริงจัง คือการพิจารณาว่ารายจ่ายใดที่จำเป็นและสนับสนุน สุขภาพ, งานที่มีคุณค่า และความสงบในชีวิต ถ้าอันไหนไม่สนับสนุนผมตัดออกทันที

ผมพบว่าผมสามารถตัดมันออกได้เป็นจำนวนมากครับ นอกจากนี้ผมยังค้นพบวิธีปรับรายจ่ายหลาย ๆ ตัวให้เป็นไปตามจริง ซึ่งทำให้ผมใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมาก ตัวอย่างที่ผมค้นพบในการลดรายจ่ายบางตัวเช่น

1.ตัดรายจ่าย subscription ที่ไม่ได้ใช้ออก ผมพบว่าผมเป็นสมาชิก Duolingo แต่ไม่เคยได้ใช้งานเลย ซึ่งผมเสียเงินเดือนละ 239 บาท ผมตัดสิน

2.ผมเปลี่ยน YouTube Premium เป็น YouTube Premium Lite เหตุผลก็เพราะ ผมใช้ทีวีเครื่องเดียวดูรายการจาก YouTube และไม่ได้ฟังเพลงเลย ดังนั้นแทนที่จะจ่ายเงิน 239 บาทต่อเดือน ผมสมัคร YouTube Premium Lite บนเว็บ และพบว่าผมจ่ายเงินรายเดือนเหลือแต่ 89 บาท! ผมลดรายจ่ายได้เป็นพันบาทต่อปี!

3.ผมเปลี่ยนจากสั่งอาหารจากแกรป มาเป็นทำอาหารกินเอง ปกติผมมีรายจ่ายค่าอาหารเดือนละ 12,000 – 15,000 บาท แต่หลังจากผมหันมาใส่ใจกับการฝึกทำอาหารญี่ปุ่นทานเองที่บ้าน รวมกับอาหารสุขภาพอื่น ๆ รายจ่ายค่าอาหารผมลดลงเหลือแค่ 4,500-6,000 บาทต่อเดือน ประหยัดรายจ่ายลงปีละครึ่งแสนบาท! แต่คุณภาพอาหารดีขึ้น และได้เวลาที่ต้องขับรถไปกินอาหารนอกบ้านทุกวันคืนมา ไม่นับรวมรายจ่ายจากค่าส่งแกรบอีก

4.อีกหนึ่งรายจ่ายที่บวมมากของผมคือ ค่ายา ด้วยความที่ไม่ดูแลสุขภาพ กินอาหารไม่มีประโยชน์ ขาดการออกกำลังกาย และนอนน้อย ทำให้ผมได้โรคมากมาย อาทิ เบาวาน ไขมันสูง ไมเกรนเวียนหัว และโรคหัวใจ สิ่งนี้ส่งผลให้ผมเสียค่ายากับโรงพยาบาลเอกชนเดือนละ 3,000 – 5,000 บาท

ผมตัดสินใจวางแผนระบบสขุขภาพตนเองใหม่ โดยใช้ ChatGPT ร่วมด้วย ทั้งการรักษาโรค ยา และการดูแลสุขภาพ ส่งผลให้ผมสามารถย้ายจากการรักษา รพ.เอกชน มาสู่ รพ.รัฐและไม่ต้องจ่ายค่ายาปีละ 30,000 – 50,000 บาท

เชื่อผมนะครับ ถ้าเราวางแผนดีๆ หมอรัฐเก่งไม่แพ้หมอเอกชนเลยครับ แถมเรายังได้รับสิทธิ์จากการใช้บัตรทอง รักษาฟรี (รัฐดูแลเราเพราะเราเสียภาษีให้รัฐ)

ยังมีสูตรควบคุมรายจ่ายที่ผมเองทำอีกมากครับ ยิ่งทำยิ่งสนุก ไม่รู้สึกเบื่อ เพราะผมยิ่งทำ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวผมมีคุณค่า สามารถควบคุมการกระทำของตนเองได้ ทำให้เงินสะสมที่จะไปถึงตัวเลขอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นอีก

แล้วคุณล่ะครับ ได้ลองควบคุมรายจ่ายอย่างจริงจังดูหรือยัง ถ้ายัง ลองทำดูนะครับ แล้วคุณจะพบว่ามันสนุก ไม่ได้เครียดอะไรเลย อและยิ่งคุณทำให้มันลดลงได้จริง คุณจะรู้สึกโคตรถูมิจในตนเองเลยล่ะ


6.ใช้ชีวิตแบบคนถังแตก

ตอนผมศึกษา Declutter Financial ผมเคยได้ยินคำหนึ่งนั่นคือ Stay broke ด้วยความที่เป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย ผมพยายามหาคำแปลอยู่นานหลายปี จนการเกิดขึ้นของ ChatGPT ทำให้ผมค้นพบความหมายของมันครับ

Stay broke = จงใช้ชีวิตแบบคนถังแตก

ฟังแบบนี้แล้วตอนแรกผมเองตกใจเหมือนกับ ว่าให้ตัวผมกินข้าวแบบอดมื้อกินมื้อเหรอ หรือว่าต้องเดินไปทำงานแทนการขับรถยนต์! แต่พอได้เจาะลึกลงไปจริงแล้ว แนวคิด Stay broke สอดคล้องกับชีวิต minimalist และการเดินไปถึงอิสรภาพการเงินมาก ๆ ครับ

ผมเริ่มเอามาใช้กับชีวิตของผมทันที

ผมพบว่าผมใช้แนวคิดนี้ได้กับการแต่งกายเริ่มจากผมขายนาฬิกา Rolex 1 เรือนออกไปในราคา 385,000 บาท และเปลี่ยนมาใช้นาฬิกา iPhone ธรรมดาราคาหลักหมื่นบาท (ผมต้องวัดค่าหัวใจไว้เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ)

ผมขายเสื้อผ้าราคาแพงออกจากตู้ไปทั้งหมด เหลือแต่เสื้อผ้าเรียบง่ายและใช้จริงทุกตัว ทำให้ตู้เสื้อผ้าผมโล่งมาก และผมไม่เสียเวลาไปกับการต้องทำให้ตนเองดูดีในสายตาผู้อื่น (ไม่เกี่ยวกับการแต่งตัวซอมซ่อ หรือไม่มีกาละเทศะ)

ถ้าผมเลือกได้ผมจะซื้อรถยนต์ใหม่ ผมจะมองที่ความปลอดภัยที่ผมรับได้และราคา ซึ่งผมมีรถ fortuner คันละ 1,500,000 บาท 1 คัน แต่ถ้าผมเปลี่ยนชีวิตเป็น stay broke เร็วว่านี้ผมจะซื้อน้องง่วงคันละ 290,000 บาท ซึ่งหมายถึง ผมสามารถเอาฟอจูนเนอร์ มาแตกเป็นรถน้องง่วงได้ถึง 5 คัน!

ผมตัดสินใจรับเอา mind set เรื่อง stay broke เข้าไปส่วนหนึ่งของการลงมือทำและตัดสินใจ เมื่อผมจะซื้อของ ผมจะมองที่ประโยชน์ของมันต่อผมจริงๆ บวกกับระยะเวลาใช้ต้องยาว และราคาที่ต่ำที่สุดในคุณภาพที่ผมรับได้

มันอาจดูสุดโต่ง แต่ผมทำแล้วมีความสุขมากครับ ผมรู้สึกว่าผมเห็นคุณค่าของเม็ดเงินแต่ละบาทที่ไหลเข้ามาจากการทำงานมากขึ้น ผมพบว่าชีวิตของผมเบาขึ้น ผมเอาเงินไปสะสมทำให้เข้าถึงอิสรภาพการเงินได้เร็วขึ้น

ผมได้ใช้เงินไปกับการแสวงหาประสบการณ์ด้านสุขภาพ งานที่มีคุณค่า และความสงบอย่าคุ้มค่า! ผมไม่ตกอยู่ภายใต้กลไกทางการตลาด ไม่มีการตลาดใดเข้ามาไซโคความคิดเราได้

จริงๆ แล้วเรื่อง stay broke นั้นสามารถเขียนเป็นหนังสือได้ 1 เล่มเลย และมันอยู่ใน bucket list ของผมตอนนี้ด้วย

ถ้าคุณยังไม่เคยลองใช้ชีวิตแบบ stay broke ลองทำดูนะครับ คุณจะรู้สึกได้ทันทีว่าตนเองเป็นนายเหนืออารมณ์ และการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่หนัก ๆ จะเบาขึ้น คุณจะอิ่มเอมกับประสบการณ์การใช้เงินทุกบาทอย่างมีคุณค่ามากขึ้น เชื่อผมครับ!


7.ซื้อของให้รอ 30 วัน

ผมรับเอาแนวคิดหนึ่งมาใช้และมัน work มาก ๆ นั่นคือ ทุกครั้งที่ผมเจอของที่อยากได้ ผมจะไม่ซื้อทันที แม้ว่าตอนนั้นอารมณ์เร่าร้อนและรบเร้าให้ซื้อมันจะพุ่งพล่านในตัวผมมากเพียงใดก็ตาม

ผมจะจดรายการไว้ใน Note บน iPhone จากนั้นผมจะรอ 30 วันครับ แล้วกลับมาอ่านรายการนั้นอีกครั้ง พร้อมกับพิจารณา ประโยชน์ต่อตัวผมอีกครั้ง พร้อมคำถามสำคัญคือ “สิ่งนี้ยังจำเป็นกับผมอยู่ไหม”

น่าเหลือเชื่อครับ!

ผมพบว่าของในรายการกว่า 99% ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตผมเลย บางอย่างมันเป็นเหมือนแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ด้วยวิธีการนี้ทำให้ผมประหยัดเงินที่ไม่จำเป็นลงไปได้มากกว่า 99%

ครั้งหนึ่งผมเคยเดินไปในห้างสรรพสินค้าและเจอรองเท้าคู่หนึ่งมันมินิมอลและสวยมาก ราคา 4,300 บาท แต่เมื่อผมจดไว้ในรายการและกลับมาดูใหม่อีก 30 วันข้างหน้า ผมกลับพบว่า ผมไม่อยากได้รองเท้าคู่นั้นแล้ว และคู่ที่ผมมีอยู่ก็สวยและทนทานมากพอที่จะใช้งานได้อีกหลายปี!

ยังมีอีกหลายเหตุการณ์เลยครับที่คล้าย ๆ กัน ดังนั้นผมจึงคิดว่าแนวคิดนี้มัน work มาก ๆ และสอดคล้องกับการทำให้ผมไปถึงเป้าหมายอิสรภาพการเงินเร็วขึ้นอีกหลายร้อยเท่าเลย


8.ส่วนเกินให้สะสมจนถึงเป้า

เนื่องจากผมมีเป้าหมายเด่นชัด ดังนั้นเงินส่วนใดที่เกินจากรายจ่าย (กองทุนเงินสำรองฉุกเฉินผมเต็มแล้ว) ผมตัดสินใจหักเข้ากองทุนอิสรภาพทางการเงินหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินรายได้จากค่าคอม affiliate ทั้ง active และ passive รวมทั้งเงินเล็กน้อย ๆ เช่นสามารถประหยัดรายจ่ายค่าเดินทางจาก 1,000 บาท เหลือ 800 บาท

เงินสองร้อยบาท ผมก็หักเข้ากองทุนทันที

ผมเข้าใจว่าวิธีนี้อาจดูสุดโต่ง แต่มันทำให้ผมเดินทางเร็ว และไปถึงเป้าหมายสั้นกว่า

นอกจากนี้ผมยังมีความสุขทุกครั้งที่ผมได้ทำ เพราะมันย้ำเตือนใจผมเสมอว่า เงินทุกบาทมีค่า และเราจะใช้มันอย่างคุ้มค่าเพื่อ สุขภาพ งานที่มีคณค่า และความสงบของผม

ผมอยากชวนให้คุณมาสุดโต่งเหมือนผมในข้อนี้เหมือนกันครับ ลองทำดูแล้วคุณจะพบว่ามันสนุกมาก ๆ


9.ลงทุนเมื่อถึงเป้าแล้วเท่านั้น

ผมนี่แหละนักลงทุนตัวยงเลยครับ ผมชอบคริปโตมาก ๆ และเคยลงทุนกับคริปโตได้ทั้งกำไรแบบ x10 และขาดทุนแบบ x100 มาแล้ว แต่สิ่งที่ผมได้รับคือ ถ้าผมยังไม่ถึงเป้าหมายตัวเลขอิสรภาพทางการเงิน สิ่งเหล่านี้กลับตัดเวลาและกำลังผมอย่างมากครับ

ผมเลยเปลี่ยนมุมมองใหม่ แทนที่จะลงทุนคริปโต ผมหันมาทำงานคริปโตแทน โดยใช้งานที่ผมถนัดนั่นคือการเป็น freelance content writer ผมเขียนบทความโปรโมทโครงการคริปโตที่น่าสนใจ และล่าแอร์ดรอป แล้วนำเงินรายได้ที่ได้จากมันในรูปแบบคริปโต แปลงเป็นสินทรัพย์มั่นคงที่ผมเลือก และเก็บมันให้ถึงมูลค่าอิสรภาพทางการเงินที่ผมตั้งเป้า

ผมพบว่าวิธีนี้กลับทำให้ผมไปได้ถึงเป้าเร็วกว่า ในเวลาที่สั้นกว่าแบบเดิมที่เอาเงินทุนสะสมไปซื้อเหรียญเก็งกำไรให้ราคาขึ้น

เมื่อผมครบตามเป้าหมายแล้ว ทีนี้เงินที่เกิน ผมจะนำไปลงทุนครับ ผมอยากซื้อภาพ NFT ผมสามารถซื้อได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องระบบการเงิน, ผมอยากจะเพิ่มเหรียญ SUI เพราะมั่นใจว่ามันจะ X1000 ผมก็ทำได้โดยไม่ทำให้ไมเกรนเวียนหัวผมกำเริบ มันเป็นการลงทุนที่ทำให้ชีวิตเบาลงมากๆ

ผมอยากให้การลงทุนของผมเป็นความสนุก ไม่ใช่ความเครียดเหมือนที่ผ่านมา

แน่นอนว่ามันจะต้องมีโอกาสที่เกิดขึ้น และเราไม่ได้คว้ามัน เพราะเรากำลัง deep focus กับเป้าหมายหลักอยู่ แต่เชื่อผม ในเกมส์ยาว เราชนะแน่นอนครับ และมันคุ้มค่าที่ชนะ และในวันที่คุณชนะ มันก็จะเกิดโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งคุณก็จะได้เป็นต้นน้ำอย่างแน่นอน แต่วันนั้นเราจะรู้สึกสนุกกับการลงทุนมากกว่าวันนี้ 1,000 เท่า!


10.อย่าให้ใครรู้เรื่องเงินของคุณ เด็ดขาด!

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ผมจำเป็นต้องเล่าให้คุณฟัง และมันอาจขัดกับความรู้สึกและความเชื่อของคุณ แต่ในมุมมองของผมนั้น ผมตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องเงินของตนเองให้ใครรู้เด็ดขาด! ผมหมายถึงทุกคน ทั้งพ่อแม่ คู่สมรส ลูก หรือเพื่อนหรือใครก็ตาม ห้ามรู้เรื่องเงินของผม

โดยเงินที่พวกเขาไม่รู้ประกอบด้วย

เงินสะสมเพื่อไปถึงอิสรภาพการเงินห้ามรู้เด็ดขาด!
เงินใช้ส่วนตัวห้ามรู้เด็ดขาด!

ไม่ใช่ผมงก

แต่ผมมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน และทุกคนรอบตัวก็จะได้ประโยชน์จากมันด้วยในทางอ้อมเช่นกัน ซึ่งผมพบว่าถ้ามีใครคนหนึ่งรู้เรื่องเงินที่คุณมี เขาจะคาดหวังเงินจากตัวคุณ หรือเขาอาจเข้าควบคุมระบบการเงินของคุณ ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่ควรทำ เพราะพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายทางการเงินแบบผม

บางคนอาจได้ยินคำพูดที่กัดกร่อนความรู้สึก อาทิเช่น เขาควรได้รับเงินเท่านั้นเท่านี้ เขาหรือเธอไม่สบายควรช่วยฉันด้วย หรือผลักภาระทางการเงินมาให้เราโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้มาตัดรอนเป้าหมายทางการเงินของคุณ คุณต้องกัดฟัน และอดทนที่จะไม่บอกใคร ซึ่งความจริงข้อนี้ถ้าคุณทำแบบสุดโต่ง และผ่านการลงมือทำข้ออื่นๆมาจาก stay broke มาแล้ว ความคิดหวังของคนอื่นจะลดลง และคุณจะเดินไปสู่เป้าหมายได้แบบโคตรเร็ว

แต่ว่ามันมีเงินอยู่กองหนึ่งที่ทุกคนรู้ได้ และเป็นกองเดียว นั่นคือเงินฉุกเฉินสำรอง ซึ่งจะถูกนำมาใช้เมื่อตัวคุณ หรือคนในครอบครัวเจ็บป่วย หรือตกงานเท่านั้น

เงินสำรองฉุกเฉินทุกคนรู้ได้

จงจำไว้ว่าแม้วันหนึ่งคุณบรรลุอิสรภาพทางการเงินแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปแถลงให้ใครหรือโชว์ใครเด็ดขาด จงรวยเงียบ! แล้วคุณจะใช้เงินในวันนั้นเพื่อตนเอง และเพื่อทุกๆคนที่รักได้สนุกขึ้น 1,000,000% เช่นผมเถอะครับ


อย่างไรก็ตาม…

แม้ว่าผลลัพธ์จากการลงมือทำตามหลัก Declutter financial ทั้งสิบข้อของผม จะส่งผลลัพธ์ด้านดีอย่างมหาศาลกับผมก็ตาม แต่ต้องบอกก่อนว่าแนวคิดทั้งหมดนั้นเหมาะสมกับผู้ที่มีพฤติกรรมฝักใฝ่ความเป็น minimalist ครับ

ดังนั้นถ้าคุณไม่ใช่ชาว Minimalist คุณอาจพบว่าเมื่อคุณลงมือทำแล้ว มันอาจไม่ได้เพิ่มความสุขในใจของคุณ และถึงแม้คุณจะเป็นชาว Minimalist ก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าทุกข้อจะส่งผลดีต่อคุณเช่นเดียวกับผม ในหลายๆข้อก็อาจไม่เหมาะสมกับบริบทของคุณ

รวมทั้งวิธีการ Declutter financial ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 10 ข้อ ยังมีอีกมากมายที่รอให้คุณไปขุดค้นพบและเอามาแชร์แบ่งปันไอเดียกันครับ ดังนั้นขอให้คุณพิจารณาและเลือกลงมือทำในข้อที่เหมาะสมกับบริบทของคุณ

แต่ถ้าคุณทำทุกข้อแล้ว มันดีมากกับชีวิตของคุณ (อ้างอิง: ResearchGate) ผมจะดีใจมากครับ


ลองดูเลยสัก 30 วัน!

ถ้าคุณอ่านบทความของผมจนมาถึงจุดนี้ ผมมั่นใจ 100% ครับว่า คุณคือหนึ่งในชาว minimalist ที่รักการทำ declutter financial อย่างแน่นอน ดังนั้นผมขอท้าให้คุณลองดูเลย! เริ่มจากการทำบัญชีรายรัย-รายจ่าย หรือจะเข้าควบคุมรายจ่ายทันที หรือจะรับแนวคิด stay broke เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หรือจะทำมันทั้งสิบข้อเลยก็ได้ครับ

ถ้าคุณทำได้และต่อเนื่องอย่างน้อย 30 วัน ผมมั่นใจว่า คุณจะได้ผลลัพธ์เหมือนกับผมอย่างแน่นอน ทั้งชีวิตที่เบาขึ้น มีสุขมากขึ้น ความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้น และเข้าใกล้ตัวเลขอิสรภาพทางการเงินได้เร็วกว่าคนวัยเดียวกับคุณ

เอาเลยนะครับ! ทำเลยตอนนี้!

และถ้าคุณชอบบทความนี้ผมขอให้คุณโปรดแชร์บทความลง Social media ของคุณ เพื่อให้คนที่คุณรักได้เห็นบทความดี ๆ ที่อ่านเปลี่ยนชีวิตของเขา นอกจากนี้โปรดกด subscription เพื่อรับอีเมล์จากผม ผมจะส่งบทความล่าสุดให้คุณรู้ก่อนใครทางอีเมล์ และถ้าคุณมีความเห็นใด ๆ ทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วย สามารถแสดงความเห็นอย่างสุภาพบน ช่องความคิดเห็นด้านล่าครับ

แล้วพบกันในบทความต่อไป ด้วยรัก


ข้อมูลอ้างอิง

How to organize your financeshttps://www.truist.com/money-mindset/principles/mind-money-connection/declutter-your-finances
How Decluttering Can Boost Your Financeshttps://www.investopedia.com/how-decluttering-can-boost-your-finances-11750258
7 Sneaky Ways Decluttering Saves You Money and Its Implicationshttps://paradigmlife.net/7-sneaky-ways-decluttering-saves-money/
How Decluttering Your Finances Can Improve Your Lifehttps://www.elevationfinancial.com/how-decluttering-your-finances-can-improve-your-life
The Mental Benefits of Declutteringhttps://extension.usu.edu/mentalhealth/articles/the-mental-benefits-of-decluttering
Impact of financial literacy, mental budgeting and self control on financial wellbeing: Mediating impact of investment decision makinghttps://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10645357
Financial Behavior and Well-Being: A Study on Personal Financial Planninghttps://www.researchgate.net/publication/391395196_Financial_Behavior_and_Well-Being_A_Study_on_Personal_Financial_Planning

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top