
คุณเคยได้ยินคำว่า “รวยเงียบ” ไหมครับ? คุณสนใจแนวคิดของการรวยเงียบไหมครับ? ผมเองเริ่มได้ยินเสียงของคำว่า รวยเงียบ มากขึ้นจาก คลิปบน YouTube รู้สึกสนใจ จึงตั้งใจลงมือทำตามหลักรวยเงียบ ผลลัพธ์ที่ได้น่าพึงพอใจมากและเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของผมไปตลอดกาล ดังนั้นถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการ “รวยเงียบ” ผมอยากแบ่งปันเคล็ดลับ 23 ข้อ ที่ผมทำแล้ว โคตร work และผมเชื่อว่าถ้าคุณทำตามก็โคตร work เช่นกัน
แต่ก่อนอื่น ผมว่าเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “รวยเงียบ” ก่อน
รวยเงียบ คืออะไร
ถ้าพูดถึงเรื่องรวย ผมเชื่อว่าคนไทยรุ่นผมส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการแสดงความมีฐานะ อาทิเช่น การซื้อและใช้รถยนต์ที่หรูหรา, นาฬิกาสุดแพงระยับ,หรือการแต่งกายด้วยเครื่องประดับราคาแพง แน่นอนว่าการทำสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะมันคือรสนิยมอย่างหนึ่งของแต่ละบุคคล
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกรสนิยมหนึ่งผุดเกิดขึ้นมา และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน สิ่งนั้นเรียกว่า “รวยเงียบ” ซึ่งมีกูรูได้ให้ความหมายไว้อย่างน่าสนใจดังนี้…
“คำว่า Quiet Luxury หรือ Silent Luxury เป็นวิถีชีวิตที่เน้นความสง่างามอย่างละมุนละไม ไม่หวือหวา เป็นการใช้สิ่งของหรือแสดงสถานะที่บ่งบอกถึงคุณภาพและความละเอียดลึก (craftsmanship) โดยไม่ต้องใช้โลโก้หรือแสดงออกชัดเจน (อ้างอิง: Kubra)”
“รวยเงียบ ไม่ได้อัดแน่นไปด้วยแบรนด์หรือสัญลักษณ์ภายนอก แต่แฝงด้วยคุณภาพและความประณีต เป็นการแสดงออกของความร่ำรวยอย่างมีระดับ ดูเรียบแต่เกรดหรู” (อ้างอิง: Wikipedia)
“Stealth Wealth คือแนวคิดการมีฐานะร่ำรวยโดยไม่ต้องอวดหรือประกาศให้ใครรู้ เน้นความปลอดภัยและความสงบทางการเงิน เป็นการปกปิดฐานะ ไม่โอ้อวด เช่น ไม่ขับรถหรู ไม่แต่งตัวฟู่ฟ่า แต่แท้จริงร่ำรวยมาก คนที่มี Stealth Wealth มักเลือกใช้ชีวิตเรียบง่าย เช่น ขับรถธรรมดา ใช้ชีวิตประจำวันไม่ดูฟุ้งเฟ้อ” (อ้างอิง: moneywise)
จากความหมายข้างต้น ทำให้ผมสรุปเป็นนิยามของคำว่า “รวยเงียบ” ได้ว่า เป็นแนวคิดและวิถีชีวิตใหม่ของการมีฐานะที่ไม่ต้องประกาศให้โลกรู้ และทำให้ผู้รวยเงียบดื่มด่ำกับคุณภาพชีวิตของตนเองอย่างเต็มที่ บนชีวิตที่เรียบง่าย”
ในประเทศไทยของเรา แม้ยังไม่มีสถิติหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง รวยเงียบ ให้เห็นอย่างจริงจัง แต่ก็มีการพูดถึงอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2025 นี้ มีกระทู้จาก pantip ที่ถกเถียงกันเรื่องนี้อาทิเช่น…

เหตุที่กระแสรวยเงียบ มาแรงแซงทางโค้งขนาดนี้ เพราะใครก็ตามที่ทำตนเองได้ตามแนวคิด จะได้รับประโยชน์มากมาย ดังต่อไปนี้ครับ
ข้อดีของการเป็นคนรวยเงียบ
1.ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของคุณ
ผมมักเห็นข่าวเกี่ยวกับการปล้นจี้เนือง ๆ ใน YouTube ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการใส่เครื่องประดับมีค่าล่อตาล่อใจผู้ไม่หวังดี แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องผิดของผู้ที่เลือกสวมใส่ แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า บริบทแบบปัจจุบันในประเทศไทย ผู้ที่เลือกใส่ของมีค่า ย่อมมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยมากกว่าคนปกติหลายสิบเท่า
แต่การเป็นคนรวยเงียบ เราจะไม่แสดงออกด้วยของมีค่าบนร่างกายใด ๆ นั่นเท่ากับว่าเราลดความเสี่ยงจากผู้ไม่หวังดีลงหลายสิบเท่าเช่นกัน ทำให้เราใช้ชีวิตที่ปลอดภัยขึ้น คล่องตัวขึ้น และแม้แต่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย คุณก็จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงน้อยที่สุด
2.สร้างความสัมพันธ์แบบแท้จริง
เมื่อเราไม่โชว์ และไม่มีใครรู้เรื่องสถานะทางการเงินที่แท้จริงของเรา พวกเขาเหล่านั้นก็จะเลือกหรือคบกับคุณบนพื้นฐานข้อมูลแห่งความไม่มี ซึ่งมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง บริสุทธิ์และไม่มีอะไรแอบแฝงในใจมากกว่า
และจากประสบการณ์ของผมพบว่า เรามักได้รับรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นจริงมากกว่า และทำให้เรามีโอกาสพบเพื่อนที่รู้ใจมากขึ้นอีกด้วยครับ
3.ลดความคาดหวังจากคนอื่น ๆ
หากทุกคนรู้ว่าคุณมีเงินประมาณเท่าไหร่ หรือมั่งคั่งเท่าไหร่ คนรอบตัวคุณไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ สามี ภรรยา เพื่อน หรือคนรู้จัก ญาติของคุณ จะเริ่มคาดหวังจากตัวคุณ เช่น ต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้น, การทำงานบางอย่างคุณอาจต้องใช้เงินมากขึ้น, ใส่ซองมากขึ้น
หรือแม้กระทั่งเข้ามาก้าวก่ายเงินในบัญชีของคุณ!
หากคุณเพิ่งรวย หรือเริ่มมีเงินรายเดือนมากกว่าเงินขั้นต่ำที่เราได้รับ ผมแนะนำให้คุณจงปฏิบัติตามแนวทางรวยเงียบให้รวดเร็วและให้ไวที่สุด อย่าได้ถลำตัวโชว์รวยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น คุณจะได้พบกับมือที่มองไม่เห็นที่จะดึงเงินออกจากกระเป๋าคุณอย่างแน่นอน
4.เพิ่มอิสรภาพให้ชีวิต
ข้อดีประการสุดท้ายในมุมมองของผมคือ อิสรภาพในการใช้ชีวิต เนื่องจากคน รวยเงียบ มักเลือกที่จะไม่แสดงฐานะทางการเงินเลย ดังนั้นเขาจะใช้เงินอย่างคุ้มค่าและประหยัด จึงมีเงินเหลือมากพอทำให้มีอิสรภาพทางการเงินที่ยิดยาวกว่าเดิม
จะทำอะไร จะคิดอะไรก็จะไม่ตกเป็นเป้าสายตาของคนเหล่านั้น
นอกจากข้อดีของการเป็นคนรวยเงียบทั้ง 4 ข้อนี้ ยังมีข้อดีอีกหลายประการที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง แต่คุณจะสัมผัสได้แน่นอนเมื่อคุณนำเอาแนวทางทั้ง 23 ข้อด้านล่างไปปรับใช้กับชีวิตครับ เรามาค้นดูพร้อม ๆ กันว่ามีเคล็ดลับทั้ง 23 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง ดังนี้…
1.สร้างกองทุนฉุกเฉิน 6-12 เดือน

สิ่งแรกที่ผมทำตามหลักรวยเงียบแล้ว work คือ ตั้งกองทุนฉุกเฉินสำรอง 6-12 เดือน กองทุนนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า emergency fund โดยผมจะใช้กองทุนนี้ก็ต่อเมื่อ เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือตกงาน ไม่มีรายได้เข้ามา
ตัวผมเองเห็นคุณค่าของกองทุนฉุกเฉินมากครับ เพราะมีเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผมก่อนหน้านี้ย้อนหลังไป 2 ปี กล่าวคือ ผมป่วยเป็นโรคไมเกรนเวียนหัวอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถทำงานเขียนบทความได้เลย ส่งผลให้ผมไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียยว
ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว ผมนำเงินจากกองทุนฉุกเฉินเข้ามา support ทำให้ผมไม่ต้องเครียดจากภาวะไม่มีเงินใช้ได้มากในระดับ 100% เลย ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมแรกของวิถีรวยเงียบคือ “สร้างกองทุนฉกเฉิน” ให้เร็วที่สุดครับ
สำหรับตัวเลขของกองทุนก็คำนวณไม่ยาก ด้วยการเอารายจ่ายประจำต่อเดือนเป็นตัวตั้ง แล้วก็คูณด้วยจำนวนเดือนที่จะสำรองที่เหมาะสมต่อบริบทของคุณ โดยจากการค้นคว้าของผมผมมีตัวเลขเดือนเป็นแนวทางให้ดังนี้…
กลุ่มอาชีพ | ขนาดเงินสำรองฉุกเฉิน |
---|---|
พนักงานประจำ | 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย (อ้างอิง: WellsFargo) |
ฟรีแลนซ์ | 6-12 เดือนหรือมากกว่า (อ้างอิง: MarketWatch) |
ผู้มีรายได้สูงจากวิชาชีพเฉพาะ | 12-18 เดือนของค่าใช้จ่าย (อ้างอิง: InvestPedia) |
ผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว | 3-5 ปี (อ้างอิง: MoneyWeek) |
สำหรับตัวผมซื่งทำงานเป็นฟรีแลนซ์ ผมตั้งเป้าไว้ว่าต้องมีเงินทุนสำรองฉุกเฉิน 12 เดือนครับ (ปัจจุบันครบแล้ว) โดยเลือกฝากเป็นเงินบาทในบัญชีออมทรัพย์และมีบัตรเดบิต เพื่อให้ถอนเงินสด หรือรูดจ่ายได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
ล่าสุด มีข้อมูลที่น่าสนใจมากจากสวนดุสิตโพล (2025) เกี่ยวกับสถานการณ์เงินสำรองฉุกเฉินของคนไทยพบว่า 48.32% ของคนไทยไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ โดยใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน หากตกงาน โดย 35.24% มีเงินสำรองเพียง 1–3 เดือน รวมแล้วมี 83.56% อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเรื่องการเงิน
นอกจากนี้ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ยังได้วางข้อแนะนำให้กับคนไทยเกี่ยวกับ emergency fund ไว้ว่า มนุษย์เงินเดือนควรมีเงินสำรองฉุกเฉินขั้นต่ำ 6 เดือนของรายจ่าย และกลุ่มอาชีพอิสระควรมีเงินสำรองสูงถึง 12 เดือน
จากข้อมูลข้างต้น เพื่อความปลอดภัยทางการเงินของคุณ ถ้าคุณยังไม่มีกองทุน Emergency Fund ผมแะนำให้ทำเดี๋ยวนี้เลยครับ
2.ปิดบัตรเครดิตให้หมด

บัตรเครดิต คืออาวุธฝ่ายพระและฝ่ายมารในตัวเอง แต่สำหรับตัวผมเองแล้วค่อนไปทางฝ่ายมารมากกว่า แม้ว่าผมจะใช้เงินอย่างระมัดระวังและจ่ายบัตรเครดิตเต็มทุกเดือนตลอดหลายปี แต่สิ่งที่ผมพบว่า พลังมืดของบัตรเครดิตที่ทำร้ายผมมีดังนี้ครับ
1.มันจูงใจให้เราอยากซื้อของเพิ่มขึ้น ด้วยเพราะเรามีวงเงินที่จ่ายได้ ผมเองได้วงเงิน 230,000 บาท ซึ่งทำให้ผมบินไปต่างประเทศบ่อยเกินจำเป็น เพราะใช้บัตรซื้อตั๋วเครื่องบินช่วงโปร รวมทั้งซื้อของแบบ subscription แบบซื้อแล้วลืมว่าซื้ออะไรบ้าง ทำให้รายจ่ายบัตรเครดิตบวมอย่างน่าเหลือเชื่อ
2.ส่งเสริมวินัยการเงินที่เสียหาย หลายคนอาจแย้งว่า ก็เราจ่ายบัตรตรงเวลานี่ไงจะเสียวินัยได้อย่างไร คำตอบคือ ก็ตรงจ่ายบัตรนี่แหละ เพราะปกติเราไม่ต้องจ่ายเลย เราจะจ่ายก็เมื่อต้องการซื้อจริงๆ แต่บัตรเครดิตมักมีโปร เช่นซื้อตอนนี้ได้ส่วนลดเพิ่ม เจ้าสิ่งนี้แหละครับที่กระทบกับวินัยการเงินส่วนบุคคล เพราะมันสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เราคุ้นเคยกับการดึงเงินอนาคตออกมาใช้
3.ระบบตัดเงินที่ทำให้เราสับสน อันนี้อาจเป็นเพราะผมคนเดียวครับ ด้วยรอบจ่ายบัตรของผมที่ไม่ได้เริ่ม ณ วันที่ 1 ส่งผลให้บางครั้งผมลืมรอบจ่ายบัตรเครดิต และนั่นหมายถึงดอกเบี้ยที่ธนาคารจะคิดเพิ่มทันที แม้วันจะเกินไปเพียง 1 วินาที!
หลังจากผมตระหนักได้ ผมตัดสินใจตัดบัตรเครดิตทิ้งเลย! และดูว่าชีวิตเกิดอะไรขึ้น มันแย่กว่าเดิมไหม?
รู้ไหมครับเกิดอะไรขึ้น
คำตอบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย! ชีวิตดำเนินไปตามปกติ ใช้จ่ายเงินแบบ Declutter financial ตามปกติ แถมกลับมีความสุขในการใช้เงินมากขึ้นด้วย เพราะ เราเลือกใช้เงินเท่าที่เรามีเงิน เราไม่ได้เอาเงินในอนาคตมาใช้ ผมจึงรู้รายรับรายจ่ายอย่างชัดเจนแต่ละเดือน และนี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่ต้องการ รวยเงียบ
3.ใช้ชีวิตแบบ Minimalist
รูปแบบการใช้ชีวิตที่ผมคิดว่าสอดคล้องกับค่านิยม รวยเงียบ มาก ๆ นั่นคือการเป็น minimalist ซึ่งหมายถึงการใช้ของน้อยอย่างแต่มีคุณภาพชีวิตมากอย่าง
ตัวของผมเองตกหลุมรักการใช้ชีวิตแบบ minimalist เข้าอย่างจัง และพบว่า เมื่อของทุกอย่างน้อยลง ชีวิตผมกลับเบามากขึ้น เคลื่อนไหวง่ายขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตง่ายขึ้น และรวมทั้งหาเงินได้มากขึ้นด้วย
บางครั้งผมก็แอบคิดว่าชาว minimalsit นั้นมีชีวิตคล้ายกับพระสงฆ์ ซึ่งเรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข จากการไม่มีพันธนาการของชีวิตมากนัก ซึ่งจากความเรียบง่ายนั้นเอง ส่งผลให้ผมมีเงินเหลือ เพียงพอที่จะไปซื้อสุขภาพ งานที่มีคุณค่า และความสงบให้กับตนเองได้เพิ่มขึ้นด้วย
คุณลองสำรวจจิตใจของคุณดูนะครับ ถ้าคุณชอบจัดบ้าน ชอบทำให้บ้านโล่ง หรือทำของให้น้อยชิ้น ใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ๆ บางทีคุณอาจเป็นชาว minimalist เหมือนกับผมก็ได้ครับ
4.มีสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกเดือน
สมุดรายรับ-รายจ่ายประจำวันเปรียบเสมือนสมุดพกของคนรวยเงียบ หรือเตรียมตัวรวยเงียบแม้ผมเองจะชื่นชอบการใช้แอฟบันทึกรายรับรายจ่าย เพราะประหยัดเรื่องค่ากระดาษ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือการกด subscription ซึ่งตัวผมเองไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เนื่องจากมันแสดงถึงการผูกมัดด้านการเงิน
ผมจึงเลี่ยงมาใช้เป็นสมุดบันทึกรายรับรายจ่ายแบบง่าย ๆ ขนาดกะทัดรัด และเนื่องจากรายจ่ายในแต่ละวันของผมมีไม่มากนัก ทำให้ไม่เปลืองการจดเท่าไหร่
ข้อดีของการใช้สมุดบันทึกคือ ทำให้คุณเห็นถึงยอดเงินรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือสามารถประหยัดลงได้ อีกทั้งยังป้องกันการจ่ายเงินไปกับสิ่งของหรือบริการที่ไม่สนับสนุนชีวิตด้านสุขภาพ งานที่มีคุณค่า และความสงบส่วนตนด้วย
ผมแนะนำให้คุณลองฝึกบันทึกดูครับ แรกๆ อาจดูเหมือนเป็นภาระ แต่เราใช้เวลาไม่มากครับวันหนึ่งรวมกันไม่เกิน 2-3 นาที แต่สามารถประหยัดเวลาในอนาคตมากถึง 30-60 นาทีต่อเดือนเลย รวมทั้งประหยัดเงินค่าใช้แอพบันทึกรายรับ-รายจ่ายอีกด้วย
5.สร้างทรัพย์สินดิจิทัลเสมอ

เพื่อให้เรากลายเป็นคนรวยเงียบ การเรียนรู้วิธีสร้างทรัพย์สินดิจิทัล ถือเป็นเรื่องสำคัญและควรทำอย่างยิ่งครับ ตัวอย่างทรัพย์สินดิจิทัลที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน เช่น คลิปวีดิโอบน YouTube หรือ TikTok ภาพถ่าย, งานศิลปะดิจิทัล, เหรียญดิจิทัล บทความออนไลน์ เว็บไซต์ แอพ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นทรัพย์สินดิจิทัลที่สามารถสร้างรายได้แบบทับทวี ทั้งแบบ Active income และ passive income ยิ่งมีมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเหมือนมีเครื่องจักรผลิตเงินสดมากขึ้นเท่านั้น
ผมเองก็พยายามเขียนบทความที่มีคุณภาพสูงวันละ 1-2 บทความ ทุกวัน รวมทั้งพยายามทำคลิปคุณภาพ 1-2 คลิปทุกเดือนลง YouTube แม้ว่ารายได้ ณ ตอนเริ่มต้นจะแทบวัดไม่ได้เลย แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 3-6 เดือนข้างหน้า
ต้นไม้ต้นเล็กๆก็จะเติบดตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ กลายเป็นรายได้ขนาดมหึมาที่ผมเองก็ยังคาดไม่ถึงเช่นกัน
นอกจากนี้ทรัพย์สินดิจิทัลหลายๆตัว ไม่จำเป็นต้องโชว์ใบหน้าของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น คลิปเพลงบรรเลง, บทสวดธรรมะ เป็นต้น ช่วยให้คุณไม่ต้องเปิดเผยตัวตน และมีรายได้เงียบๆ อีกด้วยครับ
หัวใจสำคัญที่ทำให้การสร้างทรัพย์สินดิจิทัล ทำให้เราประสบความสำเร็จคือ วินัย หรือ Discipline ซึ่งขอเพียงเราทำในตลาดที่ถูกต้อง และใช้เวลาเท่านั้นเราก็จะประสบความสำเร็จแล้ว
6.เก็บรายได้ทั้งหมดเข้ากองทุนมั่งคั่ง
คนรวยเงียบทุกคน ชอบการเก็บรายได้ทั้งหมดที่นอกเหนือจากกองทุนเงินฉุกเฉิน เข้ากองทุนความมั่งคั่ง หรือ กองทุนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งถือเป็นเส้นชัยสำคัญ โดยตัวเลขของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุ รายจ่ายประจำเดือน เป็นหลัก
หากคุณสนใจเรื่องการตั้งกองทุนนี้ สามารถเข้าไปอ่านบทความของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้โดยตรงคือ
7.ทำตัว Stay broke เสมอๆ

คำว่า Stay broke คือ การทำตัวเองให้ถังแตกเข้าไว้ ตอนผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกจากหนังสือสอนรวยของ Grant gordon ผมค่อนข้างสับสนมากว่ามันหมายความว่าอย่างไร ผมใช้เวลาศึกษาข้อความนี้อยู่นานหลายปีครับ จนสรุปได้ว่า มันคือ การใช้ชีวิตให้ต่ำกว่ามาตรฐานรายได้สักสองสามระดับ
เรื่องนี้ไม่ใช่การทำตัวให้ลำบาก เช่น เปลี่ยนจากการกินข้าวภัตตาคารไปขอข้าววัดกิน อะไรทำนองนี้ แต่เป็นการลดเพดานบินด้านรายจ่ายลงในขณะที่ยังได้รับการดูแลหรือใช้เงินตามวัตถุประสงค์เช่นเดิม
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีรายได้เพียงพอที่จะซือตั๋วเครื่องบิน First class ไป-กลับ กรุงเทพญี่ปุ่นได้ คุณก็อาจเลือกซื้อตั๋วธรรมดาแบบพรีเมียมเดินทางไปแทน หรือ ถ้าคุณชอบทานอาหารญี่ปุ่น คุณอาจเข้าคอร์สเรียนการทำอาหารญี่ปุ่นและฝึกทำอาหารรับประทานเอง วิธีนี้นอกจากจะทำให้คนอื่นไม่คาดหวังเงินจากตัวคุณแล้ว คุณจะมีความสุขและดื่มด่ำกับประสบการณ์การใช้เงินตามจริงมากขึ้น เงินเหลือมากขึ้น และชีวิตก็จะเบาขึ้นด้วย
ผมชอบเรื่อง stay broke มาก และกำลังจะเขียนคู่มือด้านนี้อยู่ครับ
8.ซื้อของเพราะจำเป็นไม่ใช่อยากโชว์
ถ้าอยากรวยเงียบ อย่าเผลอโชว์รวยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นทริปสุดหรูหราที่ดูไบ หรือการไปเล่นสกีที่ประเทศญี่ปุ่นในรีสอร์ทระดับ 5 ดาว รวมทั้งซื้อกระเป๋า LV ใบสวยตามลิซ่าสักใบ แล้วถ่ายอวดเพื่อนๆ
ถ้าวิถีรวยเงียบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะไม่สนใจเรื่องการโชว์รวยเลยครับ เราจะสนใจแต่เฉพาะเรื่องการซื้อของที่จำเป็นต่อคุณภาพชีวิตเราสามด้านเท่านั้นได้แก่ สุขภาพ งานที่มีคุณค่า และความสงบเท่านั้น
ผมเองยอมรับว่าเคยชอบของแบรนด์เนมอยู่สักพักใหญ่ จัดทุกอย่างประโคมเข้าร่างกายทั้งหมด ยอมรับว่ามันให้ความรู้สึกฟินตอนซื้อและตอนใส่ แต่มันเหมือนรสเลิศแห่งกามที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มใจเสียที
แตกต่างจากใจที่สละออกและเลือกซื้อของที่จำเป็นต่อชีวิตจริง ผมรู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งนั้นที่ผมสัมผัสได้จริงๆ มากกว่าตอนที่ได้ใช้ของแบรนด์เนมเสียอีก
ผมไม่ได้ยุให้คุณต้องขาย LV และมาถือกระเป๋าผ้า แต่ถ้า LV สำคัญต่องานที่มีคุณค่าของคุณ จงมีมัน แต่ถ้าไม่ จงขายมันซะ เปลี่ยนเป็นเงินเข้ากองทุนอิสรภาพจะดีที่สุดครับ
ข้อเสียอีกประการหนึ่งที่ผมเจอเมื่อโชว์รวยนั่นคือ เราจะมีคนโทรหรือไลน์มายืมเงินมากขึ้นกว่าปกติประมาณ 300% ครับ
9.เลือกของที่ทนทานนานที่สุด
ภายใต้แนวคิด รวยเงียบ การใช้จ่ายไม่ได้หมายถึงการซื้อของราคาถูกที่สุด หรือแพงที่สุด แต่คือการเลือกสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว ของบางชิ้นอาจมีราคาสูงกว่าของทั่วไป แต่หากมันถูกออกแบบให้ใช้งานได้ยาวนาน 5–10 ปี หรือมากกว่านั้น แท้จริงแล้วจะช่วยประหยัดเงินและลดการซื้อซ้ำบ่อยครั้งครับ
เหตุผลสำคัญที่มันสอดคล้องกับเรื่องรวยเงียบคือ
1.ลดความดึงดูดและความสนใจ ลองสังเกตดูครับ ของคุณภาพดีมักมีดีไซน์เรียบๆ ไม่มีโลโก้ใหญ่โตที่ทำให้เห็นเป็นจุดเด่น
2.ลงทุนครั้งเดียวคุ้มค่า ไม่ต้องเสียเงินก้อนเพื่อเปลี่ยนสินค้านั้นบ่อย ๆ ทุกๆสามเดือนหรือทุกปี
3.ลดภาระการติดสินใจ เมื่อคุณไม่ต้องตัดสินใจซื้ของบ่อย ๆ คุณก็สามารถเอาเวลานี้ไปตัดสินใจในเรื่องอื่นๆที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากกว่า
10.ของเกิน 1,000 บาท รอ 24 ชั่วโมงค่อยจ่าย
ของที่มีมูลค่าเกินกว่า 1,000 บาท ทุกชิ้นผมจะเขียนไว้ในรายการโปรดเสมอ แต่จะตัดสินใจซื้ออีกทีคือในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า หรือบางครั้งนานถึง 30 วัน เหตุผลที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพราะ ผมไม่อยากให้อาการอยากที่เกิดจากการตลาดของผู้หลิตสินค้านั้นมาจูงใจให้ผมตัดสินใจซื้อของตามอามณ์ที่ไม่ใช่เหตุผล
เพราะเป้าหมายของผมคือ ต้องการรวยเงียบให้เร็วที่สุด ซึ่งก็คือไปให้ถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินเร็วที่สุด ผมจึงไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่สนับสนุนเป้าหมาย เช่น การซื้อของเพราะอารมณ์
มีของหลายชิ้นที่ผมซื้อตามอารมณ์ และเมื่อมั่นมาอยู่ที่บ้าน ผมแทบไม่ได้จับหรือใช้มันอีกเลย
สุดท้ายผมต้องโยนมันเข้ากล่อง 30 วัน (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังโอกาสหน้า)
ถ้านับปริมาณของที่โยนเข้ากล่อง 30 วันในแต่ละปี ก็เป็นมูลค่าหลายพันจนกระทั่งถึงหลายหมื่นบาทอยู่ ดังนั้น ท่องไว้ในใจเสมอเลยว่า ถ้าของราคาเกิน 1,000 บาท จงรออย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถึง 30 วันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจซื้ออีกครั้งเสมอ
11.ต่อรองราคาทุกครั้งแม้จ่ายเงินได้
การใช้เงินไม่ใช่เรื่องของ “จ่ายได้หรือไม่ได้” แต่คือการ ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและมีสติ ต่อรองราคาเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยไม่กระทบคุณภาพชีวิต แม้คุณจะมีเงินจ่ายเต็มจำนวนก็ตาม เหตุผลสำคัญที่ทำให้การทำกิจกรรมนี้น่าสนใจคือ
1.คุ้มค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบในระะยะยาว ลองคิดดูนะครับ การได้ส่วนลดต่อครั้ง 5% – 10% เช่นครั้งละ 100 บาท แต่หากเดือนหนึ่งคุณต่อรองราคาได้ 10 ครั้ง เท่ากับประหยัดเงินเพิ่มเดือนละ 1,000 หรือปีละ 12,000 บาท! คุณสามารถนำเงินส่วนนี้ไปซื้อชุดตรวจสุขภาพประจำปีได้ หรือนำไปซื้อประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศได้สบาย ๆ เลย
2.ส่งเสริมทัศนคติเห็นคุณค่าของเงิน เชื่อผมครับ คนที่รวยเงียบทุกคนเห็นคุณค่าของเงินทุกบาทที่จ่ายออกไป ไม่มีใครที่จ่ายเงินเกินความจำเป็นของตนเอง แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะจ่ายเงินไหวก็ตาม
3.ลดการเปิดเผยฐานะของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มต่อรองราคา เราจะดูเหมือนกับลูกค้าทั่วๆไป ไม่ใช่กลุ่มโชว์รวย ที่ไม่สนว่าจำนวนเงินที่จ่ายเป้นเท่าไหร่
4.คุณอาจได้รับสิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่ไม่คาดฝันอาทิเช่น คุณอาจได้ของแถม ได้บริการเสริม ได้ออปชั่นอะไรบางอย่างเพิ่มเติม ที่สำคัญยังช่วยฝึกทักษะการเจรจาต่อรองไปในตัวอีกด้วย
12.ไม่ใช้บริการประเภท subscription รายเดือน

หนึ่งในวิธีคิดแบบรวยเงียบหนึ่งคือ การปิดช่องทางการรั่วไหลของเงิน ที่แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถสะสมจนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคตได้ หนึ่งในนั้นคือ ค่าใช้จ่ายหรือบริการแบบ subscription รายเดือน เช่น แอปสตรีมมิ่ง เพลง ฟิตเนส หรือซอฟต์แวร์ที่คุณไม่ได้ใช้เต็มประสิทธิภาพ
เหตุผลที่สอดคล้องกับรวยเงียบ ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจริง Subscription หลายอย่างถูกจ่ายเพราะ “กลัวพลาด” หรือสมัครไว้เฉย ๆ แต่ไม่ได้ใช้คุ้มค่า ป้องกัน lifestyle creep เมื่อรายได้เพิ่ม คนมักสมัครบริการเสริมเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาระประจำ
ลดการเปิดเผยพฤติกรรมการใช้เงิน บริการ subscription บางประเภทอาจบอกใบ้ไลฟ์สไตล์หรือฐานะของคุณ การไม่ใช้จึงช่วยคงความเป็นส่วนตัว
คนรวยเงียบรู้ว่าความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่การมีทุกอย่าง แต่อยู่ที่ การจ่ายเฉพาะสิ่งที่คุ้มค่าและจำเป็น การตัด subscription ที่ไม่จำเป็นจึงเป็นการ “คืนเงิน” กลับมาให้ตัวเองเพื่อนำไปลงทุนหรือเก็บเป็นเงินสำรอง
13.ไม่ติดแบรนด์
คำว่าไม่ติดแบรนด์ ไม่ได้หมายความว่า คนรวยเงียบ จะไม่ใช้แบรนด์ดัง ๆ เช่น HERMES LV แต่หมายถึง เขาจะไม่ยึดติดคำว่าแบรนด์ ก่อนที่จะตามมาด้วย อายุการใช้งานและความทนทาน
คนรวยเงียบจะมองไปที่ ความทนทานของสิ่งที่ใช้งานว่า ใช้งานได้ทนทานไหมและยาวนานเท่าใด เช่น กางเกงตัวหนึ่งราคา 1,000 บาท แต่ใช้งานได้นาน 2-3 ปี ขณะที่กางเกงตัวละ 200 บาท ใช้งานได้แค่ 3-4 เดือน ขอบก็ย้วย สีซีด และเริ่มมีขุยขาด จนต้องเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่แล้ว
ยังมีเหตุผลดีๆ ที่จะได้รับเมื่อคุณไม่ติดแบรนด์คือ คุณไม่ต้องนำเงินของคุณจ่ายส่วนเพิ่มราคาของสินค้า ที่ผมเรียกมันว่า ค่าการตลาด! ซึ่งแบรนด์ใหญ่ ๆ หรือชั้นนำมักจะต้อทุ่มงบลงไปในส่วนนี้เสมอ
ว่ากันว่า เพียงแค่คุณไม่ติดแบรนด์ คุณอาจประหยัดเงินได้ 40% ของมูลค่าสินค้าที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อเลย
14.ห้าม post ลง social โชว์รวย
แนวคิดนี้ถือเป็นแนวคิดตรงกันข้ามกับค่านิยมในปัจจุบันที่ไม่ว่าเราจะทำอะไร เช่นกินอาหาร ท่องเที่ยว ซื้อของ ถ้าสินค้านั้นมีราคาสูง เราจะมีความรู้สึกอยากโชว์ขึ้นมาทันที
ซึ่งสิ่งนี้ต่างจากคนรวยเงียบ เขาเลือกที่จะปกปิด ไม่แสดงตัว ซ่อนเร้น หรือแม้กระทั่งลบ App หรือบัญชีการใช้งานแบบ Social media ของตนเองลงไปเลย เพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณ
ซึ่งข้อดีมากมายที่จะได้รับ อาทิเช่น ความปลอดภัยส่วนตัว เพราะไม่มีใครรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนตอนนี้ (check-in) หรือมีทรัพย์สินมูลค่าอยู่เท่าไหร่ บ้านอยู่ที่ไหน คุณจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
นอกจากนี้คุณจะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการโชว์รวย เวลาที่ต้องนั่งเลือกรูปภาพเพื่อ post ลง social เราสามารถเอาเวลาที่จะต้องสูญเสียไปนี้ ไปลงมือทำงานที่ทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นคน รวยเงียบ ได้มากกว่า และเร็วกว่าคนอื่น ๆ
15.ห้ามบอกสถานะการเงินคุณให้ใครรู้เด็ดขาด
คนรวยเงียบ เลือกที่จะไม่บอกสถานะทางการเงินให้ใครรู้ ไม้ว่าคนนั้นจะเป็น พ่อ แม่ คู่สมรส ลูก ญาติ หรือแม้กระทั่งเพื่อนของเขาเด็ดขาด! เหตุผลสำคัญคือ ถ้าเขาเหล่านั้นรู้เรื่องเงินของคุณ เขาจะเริ่มคาดหวังรายได้จากคุณทันที
เช่น ขอเงินเดือนมากขึ้น, กินข้าวก็ต้องร้านที่ดีขึ้น, ของฝากก็ต้องมีมูลค่ามากขึ้น และอีกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งเขาหรือเธออาจไปก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยไม่ทันระวังว่าผลสุดท้ายแล้วมันจะตกกระทบมาที่ตัวคุณ
สรุปคือ ทั้งหมดเป็นเรื่องของการคาดหวัง ที่มาจากเขาประเมินว่าคุณมีรายได้มากเพียงพอที่จะช่วย เรียกว่าทึกทึกเอาเองเลย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางในครอบครัว จงยุติอย่าเด็ดขาดที่จะบอกสถานะทางการเงินให้ใครรู้
ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
16.ปิดข้อมูลสาธารณะ
ข้อมูลสาธารณะ คือข้อมูลที่เราเปิดเผยต่อบุคคลทั่วไป ส่วนมากมักจะอยู่ใน Social media ช่องทางต่าง ๆ การเปิดเผยข้อมูล หรือทรัพย์สินมักกระทำโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่ทันยั้งคิด
ดังนั้นคนรวยเงียบ จึงเลือกที่จะปกปิดข้อมูลสู่สาธารณะ ถ้าเขามีแอพ Social เขาจะเลือกที่จะลบทิ้งให้หมด ยกเลิกการใช้งาน สิ่งเหล่านี้จะป้องกันปัญหาในอนาคต และทำให้คนรวยเงียบ ใช้เงินอย่างสนุกและมีความสุขมากขึ้นแน่นอน
17.ซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นั่นคือเรื่องของสุขภาพ การเจ็บป่วย รวมทั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนั่นคือการเสียชีวิต ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกคน รวมทั้งตัวของเรา ซึ่งรายจ่ายจากการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ย่อมสูงกว่าการใช้สิทธิ์จากรัฐแน่นอน
ดังนั้นหากคุณต้องการรวยเงียบ การตัดสินใจทำกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ในกรณีที่คุณยังแข็งแรงอยู่ ถือว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยเงินจำนวนน้อยนิด แลกกับความเสียหายทางการเงินเพื่อถึงจังหวะต้องใช้เงิน ผมถือว่าคุ้มค่ามาก
การรักษาพยาบาลครั้งหนึ่งอาจมีราคาหลายหมื่นจนถึงหลายแสนบาท ในขณะที่การจ่ายเงินค่าประกันสุขภาพนั้น ราคาน้อยกว่านั้นหลายสิบเท่า!
นอกเหนือจากประกันสุขภาพแล้ว ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเรื่องชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญครับ ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ และถ้าในขณะที่เรากำลังสร้างฐานะอยู่ หากอยู่ดีๆ เราเกิดเสียชีวิต โดยที่ไม่มีเงินคุ้มครองหรือดูแลคนที่อยู่ข้างหลัง การตายของเราก็อาจเป็นภาระให้ครอบครัวได้
ดังนั้นประกันชีวิตจึงออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้ ถ้าคุณทำประกันไว้ เท่ากับว่า คุณจะปลอดกังวลในการทำงาน คุณจะมุ่งมั่นสร้างฐานะ รายได้ได้อย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่า หากเกิดกรณีร้ายแรงที่สุด คนที่อยู่ข้างหลังคุณก็สบาย ถ้าภาษาพระคือ คุณจะตายตาหลับ ไม่มีความกังวลใดๆนั่นเอง
ดังนั้นถ้าคุณรักที่จะรวยเงียบ ผมคิดว่า ควรมีอย่างน้อย 1 กรมธรรม์สำหรับสุขภาพ และอีก 1 กรมธรรม์สำหรับประกันชีวิตครับ
แต่ถ้าคุณอยู่ในเคสที่ไม่สามารถทำประกันใด ๆ ได้เลย เหมือนกับผม ผมแนะนำให้ “สร้างระบบประกันตัวเอง” แทน โดยคำนี้หมายถึง ให้วางแผนการเงินละชีวิตที่ทำหน้าที่เหมือนประกัน
โดยวิธีการสร้างหลักประกันตัวเองให้ทำดังนี้
1.ตั้งกองทุนรักษาพยาบาลขึ้นเอง 1 กองทุน โดยควรมีวงเงินในนี้อยู่ที่ 3-5 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการการใช้รักษาตนเองยาวเจ็บป่วยในกรณีต้องรักษาต่อเนื่องยาวนานในโรงพยาบาลเอกชน โดยคุณห้ามเอาบัญชีนี้ไปใช้จ่ายอย่างอื่นเด็ดขาด
2.ส่งเงินเข้ากองทุนเหมือนส่งประกันสุขภาพ ให้คุณหักเงินแต่ละเดือนเข้ากองทุนสุขภาพเสมือนว่า คุณกำลังส่งประกัน โดยคุณอาจไปค้นหาแผนประกันที่คุณชอบมาเป็นแนวทาง และจำลองว่าคุณกำลังส่งเงินเข้าเหมือนตอนซื้อประกันก็ได้ เช่น อาจจะส่งปีละ 30,000 บาท เป็นต้น
3.เข้ารักษาของรัฐก่อนเสมอ แล้วค่อยย้ายมาเอกชนเมื่อสมควร เมื่อถึงคราวเจ็บป่วยจริง คุณอย่าเพิ่งเข้า รพ.เอกชนทันที จงรักษาในโรงพยาบาลของรัฐตามสิทธิ์ก่อน เพื่อประหยัดรายจ่าย จนกว่าจะอยู่ในภาวะที่เร่งด่วนถึงชีวิต หรือจำเป็นจริงๆ คุณค่อยย้ายมา โรงพยาบาลเอกชน และเบิกเงินจากการทุทนสุขภาพของคุณออกมาใช้
4.เลือกบริจาคให้โรงพยาบาลรัฐ เพื่อการรักษาที่ดีขึ้น ในกรณีที่คุณมีเงินในกองทุนมากพอ คุณอาจเลือกบริจาคเงินให้กับ รพ.รัฐที่คุณสามารถใช้สิทธิ์รักษาได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเมื่อคุณบริจาค คุณจะได้รับสิทธิเศษเพิ่มขึ้น เช่น ห้อง VIP, ส่วนลด หรือ การเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่เร็วกว่า
5.ดูแลสุขภาพเชิงรุก และข้อสุดท้ายที่คุณควรทำคือ หมั่นดูแลสุขภาพของคุณในเชิงรุกตามหลัก Lifestyle medicine 3.0 ซึ่งถือเป็นเกมส์รุก และช่วยคุณประหยัดรายจ่ายในระยะยาว ถือเป็นความคุ้มค่าอย่างยิ่งครับ เพราะอาจช่วยคุณประหยัดรายจ่ายจากการรักษาพยาบาลได้มากถึง 60-70% ของรายจ่ายปกติเลยทีเดียว
18.เก็บเอกสารการเงินในที่ปลอดภัย
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ และเกี่ยวข้องกับการรวยเงียบโดยตรง เพราะ หากเราวางแผนรวยเงียบ เราจำเป็นต้องปกปิดรายได้ของเรา หรือสิ่งที่แสดงถึงความมีรายได้ของเรา ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ต้องปกปิดก็คือ
1.ป้องกันข้อมูลรั่วไหล เช่นถ้าเอกสารโฉนดที่ดิน, สัญาประกัน หรือหุ้นหลุดออกไป คนร้ายหรือผู้ไม่หวังดีก็จะรู้ว่าคุณมีรายได้และทรัพย์สินเท่าไหร่ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
2.ลดความเสี่ยงการถูกแบล็กเมล เรื่องนี้ชัดเจนอย่างมากและมีข่าวไม่เว้นในแต่ละวัน การถูกหลอกลวงจาก call center จากผู้ไม่หวังดี ส่งผลให้บางคนสูญเสียเงินที่มีมาทั้งหมดในชีวิต ดังนั้นการเก็บเอกสารในที่ที่ปลอดภัย สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้แน่นอน
3.ทำให้รักษาภาพลักษณ์การใช้ชีวิตตามปกติ เมื่อไม่มีสิ่งแสดงเครื่องบ่งฐานะ คุณก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะคนรอบข้างไม่มีใครรู้เลยว่าคุณนั้นถือทรัพย์สินไว้มากแค่ไหน
ดังนั้นเอกสารที่เกี่ยวกับการเงิน ห้ามโชว์หรือโพสต์ลงโซเชียลในกทุกกรณี รวมทั้งพินัยกรรม ให้เก็บไว้กับทางเจ้าหน้าที่เท่านั้น รวมทั้งฝากทนาย หรือคนที่ไว้ใจที่สุดในครอบครัวให้รู้เท่านั้น
หากเป็นรหัสผ่าน ให้เก็บไว้บน cloud ที่ทุกไฟล์ต้องผ่านการเข้ารหัสก่อนเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด หากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นกับคุณ คุณจะต้องรู้ว่า ใครคือคนสำคัญที่จะติดต่อได้เพื่อเข้ามาแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้
19.มีสมุดบัญชีเล่มเดียวพอ
คำว่า “มีสมุดบัญชีเพียงเล่มเดียวพอ” หมายถึง รวบรวมบัญชีธนาคารให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งในที่นี้เราหมายถึงแค่ 1 บัญชีครับ เหตุผลคือ ลดความซ้ำซ้อนในการจดจำหลายบัญชี สามารถติดตามการเงินได้ง่าย ลดความเสี่ยงของการรั่วไหลข้อมูล และที่สำคัญคือลดค่าใช้จ่ายแฝงรายปีได้ด้วย
แต่แนวคิดนี้ไม่ปฏิเสธหากคุณจะเพิ่มบัญชีสำรองขึ้นอีก 1-2 บัญชี เพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบริบทการใช้เงินของคุณเป็นสำคัญ
ผมชอบมีสมุดบัญชีเล่มเดียวเพราะ ช่วยให้คนอื่นๆคาดเดาฐานะทางการเงินได้ยาก เนื่องจากถ้าเขารับรู้ว่าผมมีเพียงบัญชีธนาคารเดียว อาจทำให้รู้สึกว่าผมมีเงินไม่มาก
ทั้งยังช่วยลดโอกาสที่ข้อมูลการเงินผมรั่วไหลได้ หรือถึงรั่วไหลผมก็รู้ว่าข้อมูลรั่วไหลไปจากที่ไหน และเพราะอะไรทันที นอกจากนี้ การจัดเก็บเอกสารก็สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วอีกด้วย
20.วางแผนมรดกและพินัยกรรม
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากที่คุณเสียชีวิตไปแล้ว คุณสามารถเขียนพินัยกรรมขึ้นมาแบบเอกสารฝ่ายเมือง และให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการเก็บรักษาข้อมูล หรือทนายความที่น่าเชื่อถือเก็บข้อมูลส่วนนี้ไว้ก็ได้
หรือหากคุณประสงค์จะเก็บไว้กับตัว ก็ควรเก็บไว้ในเซฟธนาคาร ทั้งนี้เพื่อเวลาคุณเสียชีวิต และต้องมาปิดบัญชีธนาคาร ทายาทก็จะพบกับเอกสารพินัยกรรม ซึ่งช่วยให้การจัดแบ่งเงินมรดกเป็นไปตามประสงค์ของคุณ
21.วางแผนระบบภาษี

เมื่อคุณมีรายได้มากขึ้น หน้าที่หลักของคุณข้อหนึ่งคือ การเสียภาษี ซึ่งในฐานะที่เราจะรวยเงียบ นี่ไม่ใช่การวางแผนเพื่อจะหลบเลี่ยงภาษี แต่จงทำให้เงินรายได้ของคุณอยู่ในรูปที่คำนวณภาษีและตรวจสอบง่ายที่สุด อีกทั้งให้คุณเสียภาษีให้ครบถ้วนถูกต้อง
การทำแบบนี้จะช่วยคุณประหยัดรายจ่ายภาระทางภาษีระยะยาว และสามารถใช้เงินได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่อง การถูกแบล็กเมล หรือการถูกดำเนินคดีทางภาษีใด ๆ
หลายคนมีรายได้สูง แต่ไม่ได้วางแผนเรื่องระบบภาษี ต่างตกม้าตายกันมามากแล้ว โดยเฉพาะเรื่องแวท 7% แบบบุคคลธรรมดา ดังนั้นหมั่นตรวจสอบระบบภาษีของคุณทุกเดือน และยื่นภาษีตามรอบจ่ายทุกปี อีกทั้งจัดเก็บเอกสารทางภาษีให้ถูกต้อง ครบถ้วนเรียบง่าย ต่อการตรวจสอบและติดตาม ทั้งหมดจะส่งเสริมการรวยเงียบของคุณได้
22.พัฒนาทักษะที่สำคัญต่อตลาด
การพัฒนาทักษะที่ตลาดต้องการสูง (High-Value Skills) เป็นหนึ่งในวิธีสร้างรายได้ที่แข็งแรงและยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องอวดหรือเปิดเผยฐานะต่อสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวคิด “รวยเงียบ” เพราะคุณสามารถสร้างมูลค่าทางการเงินได้ในแบบที่ควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้เต็มที่
การเลือกฝึกทักษะ เช่น การตลาดดิจิทัล, การวิเคราะห์ข้อมูล, การเขียนบทความเชิงคุณภาพตามหลัก EEAT, การให้คำปรึกษาเชิงลึก หรือทักษะด้านเทคโนโลยีอย่าง Coding และ Cybersecurity จะช่วยเพิ่มโอกาสรับงานมูลค่าสูงจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ ความสามารถเหล่านี้มักเป็นที่ต้องการต่อเนื่อง จึงสร้างความมั่นคงทางรายได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี
เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นจากทักษะเหล่านี้ คุณสามารถนำส่วนเกินไปต่อยอดในสินทรัพย์ปลอดภัยและไม่ดึงดูดความสนใจ เช่น พันธบัตรรัฐบาล, กองทุนตราสารหนี้, หรือทองคำ เพื่อให้การเติบโตของความมั่งคั่งเป็นไปอย่างเงียบ ๆ และปลอดภัยจากสายตาผู้อื่น
อีกทั้ง การทำงานด้วยทักษะตลาดสูงยังช่วยให้คุณคงภาพลักษณ์การใช้ชีวิตเรียบง่ายได้ เพราะไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านไลฟ์สไตล์หรูหรา หรือประกาศความสำเร็จให้คนอื่นเห็น ทักษะคือสินทรัพย์ที่อยู่กับตัวคุณ ซึ่งไม่มีใครสามารถลอกเลียนได้ง่าย จึงเป็นความมั่งคั่งที่ปกป้องได้ดีที่สุด
ในมุมของ “รวยเงียบ” การมีทักษะมูลค่าสูงคือการเพิ่มรายได้อย่างเป็นธรรมชาติ และทำให้คุณสามารถรักษาความเป็นส่วนตัวสูงสุด ขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสเติบโตทางการเงินและการลงทุนโดยไม่เสี่ยงถูกจับตามองหรือถูกใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของคุณ
23.จงสร้างชื่อเสียงจากผลงาน ไม่ใช่จากความรวย
การสร้างชื่อเสียงจากผลงานยังช่วยให้คุณควบคุมภาพลักษณ์และความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่า เพราะคุณสามารถเผยแพร่เพียงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าและความสามารถของคุณ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทรัพย์สิน รายได้ หรือไลฟ์สไตล์ทั้งหมดต่อสาธารณะ
อีกข้อดีของการโฟกัสที่ผลงานคือ คุณสามารถต่อยอดความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับลูกค้าระดับสูง การได้รับเชิญเป็นวิทยากร หรือการมีโอกาสร่วมโปรเจกต์ใหญ่ ทั้งหมดนี้เกิดจากความสามารถและผลงานที่พิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่เพราะคุณใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
ในมุมของ “รวยเงียบ” การมีชื่อเสียงจากผลงานช่วยปกป้องความมั่งคั่งได้โดยตรง เพราะคนรอบตัวจะโฟกัสที่สิ่งที่คุณทำ มากกว่าที่จะคาดเดาว่าคุณมีทรัพย์สินเท่าไหร่ ลดความเสี่ยงจากการถูกสอดส่อง หรือถูกคาดหวังด้านการใช้เงินจากครอบครัวและคนรู้จัก
สุดท้าย ชื่อเสียงจากผลงานคือมรดกที่ยืนยาวกว่าเงินตรา มันสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวคุณและแรงบันดาลใจกับคนรอบข้าง โดยที่คุณยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบรวยเงียบ มีอิสระในการใช้ชีวิต ปลอดภัยจากการถูกจับตามอง และมั่นคงทั้งทางการเงินและจิตใจในระยะยาว
สิ่งที่คุณควรระวังหากจะต้อง “รวยเงียบ”
แม้ว่าการ รวยเงียบ จะเป็นค่านิยมใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมโลกและสังคมไทย แต่หาใช่ว่า ค่านิยมนี้จะเหมาะสมกับคนทุกคน รวมทั้งตัวของคุณด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นคน Extrovert หรือ จำเป็นต้องเข้าสังคมและแสดงฐานะเพื่อผลทางธุรกิจ หรือผลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการ รวยแบบตะโกน ทำให้คุณมีความสุขในใจมากกว่า
ผมคิดว่า เราควรเลือกที่จะทำตามเสียงร้องในหัวใจ มากกว่าทำตามค่านิยมของสังคมโลกครับ เพราะชีวิตคนเรานั้นสั้นมาก การมีชีวิตโดยทำตามความคิดของคนอื่น ไม่น่าจะใช้คำตอบของการใช้ชีวิตที่ดีนัก
อีกทั้งการปฏิบัติตามหลัก “รวยเงียบ” หลาย ๆ ข้อ ก็อาจไม่เหมาะสมกับบริบทของคุณ ดังนั้นจงเลือกเสพ และลงมือทำตามในข้อที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคุณจริงๆ ดีกว่า
นอกจากนี้ วิธีการปฏิบัติตามหลัก “รวยเงียบ” ยังมีรายละเอียดมากกว่า 23 ข้อนี้ที่ผมเอามาใช้กับตนเองแล้วชีวิตดีขึ้นมาก เมื่อคุณลงมือทำด้วยตนเอง คุณก็จะพบกับแนวทางของตัวคุณเอง ตัวคุณเปรียบเสมือนห้องทดลองขนาดใหญ่
ลองเลยสัก 30 วัน!
ผมเองสนใจและใส่ใจการลงมือปฏิบัติตามแนวทางทั้ง 23 ข้อข้างต้นของการเป็นคน รวยเงียบ และพบว่ามันดีต่อต่อผมมาก ๆ ดังนั้น ผมจึงขอท้าคุณให้ลองนำหลักการทั้ง 23 ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลาย ๆ ข้อ ไปใช้กับตัวคุณทันทีตอนนี้เลย บางทีคุณอาจเริ่มจากการทำพินัยกรรมและมรดก
หรืออาจเริ่มจาการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรืออาจจะเป็นการยุบบัญชีธนาคารให้เหลือบัญชีเดียว คุณเลือกอะไรก็ได้ครับ แล้วทำอย่างจริงจัง จากนั้นสังเกตผลที่เกิดขึ้น 30 วัน ถ้าคุณมีความสุขมากขึ้น ชีวิตเบาขึ้น และหลังรักการทำ Declutter Financial คุณสามารถทุ่มไปกับทั้ง 23 ข้อ และข้อใหม่ ๆ ที่คุณศึกษาเพิ่มเติม หรือค้นพบด้วยตนเอง
เชื่อผมเถอะครับ ถ้าคุณได้ลงมือทำ คุณจะหลงรักวิถีชีวิตแบบใหม่นี้แน่นอน
ถ้าบทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณ โปรดแชร์มันลง Social media ของคุณ รวมทั้งอย่าลืม subscription อีเมล์ที่เว็บแห่งนี้เพื่อรับจดหมายข่าวจากผม อีกทั้งแสดงความคิดเห็นได้ที่ด้านล่างครับ ขอบคุณสำหรับการกระทำทุกอย่างของคุณ
แล้วพบกันในบทความต่อไปครับ