คู่มือฉบับเต็มที่ผมใช้เขียนบทความด้วย Pattern E•E•A•T (สำหรับผู้เริ่มต้น) 2025

เขียนบทความ eeat

คุณเคยประสบปัญหาไหมครับว่า เวลาตั้งใจจะเขียนบทความ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนบทความแบบไหนดี และเขียนอย่างไรให้ถูกใจทั้งคนอ่านและถูกใจต่อระบบการค้นหาอันซับซ้อนที่เรียกว่า Search engine เพื่อให้มีผลการค้นหาที่ดี และมีทราฟิกที่มีคุณภาพเข้าเยี่ยมชมเว็บมากขึ้น

ตัวผมเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกันครับ ในช่วงแรกของการเริ่มต้นอาชีพนักเขียนบทความ ผมมักใช้รูปแบบ (pattern) ที่ผมกำหนดชื่อขึ้นเองว่า A1 (ปัจจุบันเรียกว่า Listicle) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เขียนง่าย ขายได้ รวมทั้งนำมาเขียนบทความ SEO ทำอันดับได้ดีไปพร้อมกัน

แต่ทว่าในปัจจุบัน ผมค้นพบองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการเขียนบทความ ที่ช่วยให้ออกแบบบทความได้เหนือกว่าเดิม โดยรูปแบบบทความใหม่นี้ผมได้มากจาก การเผยแพร่บทความโดยตรงของ Google ที่ระบุว่า…

“ระบบการจัดอันดับจะมอบความสำคัญให้กับ เนื้อหาคุณภาพสูง ดั้งเดิม และที่แสดงถึง EEAT โดยไม่สนใจว่าจะถูกสร้างโดยคนหรือ A.I. และหากใช้ AI ก็จะต้องไม่สร้างเนื้อหาขึ้นมาเพียงเพื่อหลอกระบบ แต่เป็นการประยุต์ใช้ข้อมูลคู่กับการเขียนเพื่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติเท่านั้น” (อ้างอิง: Google Developer)

ซึ่งในบทความนั้นได้ปรากฎ Keyword สำคัญคือคำว่า E-E-A-T ซึ่งผมรู้สึกว่า มันเปรียบเสมือนกุญแจทองคำ ที่ไขเข้าสู่โลกของการเขียนบทความรวมทั้งการผลิต content ยุคใหม่!

ผมไม่รอช้าครับ ตัดสินใจศึกษาและเจาะลึกเรื่องของ E-E-A-T กับการเขียนบทความโดยละเอียด และทดลองใช้ทั้งกับเว็บไซต์ในเครือข่ายส่วนตัว และรวมทั้งที่ narudol.me ที่นี่ด้วย ผมพบว่า มันสามารถ สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ในแบบที่ Search engine ต้องการได้จริง และมีผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง!

คุณอยากมีผลัพธ์ที่น่าทึ่งจากการเขียนบทความไหมครับ?

ถ้าคุณต้องการ และอยากเรียนรู้วิธีการประยุกต์ใช้ E-E-A-T สู่การเขียนบทความคุณภาพสูงในเชิงปฏิบัติได้จริง บทความนี้ทั้งหมดผมจะอุทิศให้กับการสอนสร้างบทความตามแนว E-E-A-T แบบจับมือทำ

รวมทั้งพาคุณค้นพบเคล็ดลับและเทคนิคพิเศษ ที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้งานได้จริง เรียกว่าอ่านจบแล้ว เอาไปสร้างบทความคุณภาพสูงในรูปแบบ E-E-A-T ได้ด้วยตนเองทันที พร้อมรับเครื่องมือวิเศษตัวนี้แล้วใช่ไหม งั้นไปกันเลย


E-E-A-T คืออะไร

ตอนแรกที่ผมเห็นคำนี้บนบล็อกของ Google ผมกำลังคิดว่า มันคือตัวมนุษย์ต่างดาว หรือเปล่า!? เพราะมันมีคำว่า ET ซึ่งถ้ากล่าวกันตามจริง แม้ผมจะเป็นนักเขียนบทความอยู่แล้ว แต่ก็แอบรู้สึกว่ามันคือตัวประหลาดที่ทำความเข้าใจยากเหลือเกิน

แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องเจาะมันให้เข้าใจให้ได้

คำใหม่ที่ว่านี้คือ E-E-A-T คืออะไรกันแน่? ในบทความหนึ่งของคุณ Alyssa Bailey สรุปความหมายของคำนี้ไว้ในหัวข้อบทความที่ชื่อว่า What is EEAT & How does it influence SEO? ดังนี้ครับ…

“E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness เป็นชุดสัญญาณคุณภาพที่ Google ใช้ประเมินเนื้อหา ว่ามีความเชื่อถือได้ ถูกสร้างโดยผู้รู้จริง และให้ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์หรือไม่”

ซึ่งถ้าแปลแบบเข้าใจง่ายภาษานักเขียนบทความคือ E-E-A-T เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของบทความที่สร้างขึ้นว่า สร้างโดยผู้เขียนจริง มีข้อมูลสนับสนุนน่าเชื่อถือ และมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน

โดยตัวอักษรแต่ละตัวนั้นต่างมีความหมายและคำอธิบายกำกับไว้อย่างชัดเจนดังนี้ครับ

1.Experience (ประสบการณ์)

สิ่งแรกที่ Google ให้ความสำคัญสูงสุดคือ ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ซึ่งก็คือ ผู้เขียนจะต้องเป็นผู้ผ่านประสบการณ์นั้นจริง เช่น ใช้งานจริง ทดลองจริง สัมผัสจริง ลงมือทำจริง อะไรก็ตามที่เป็นคำว่า “จริง” คำเดียวสำเร็จทุกอย่าง

ตัวอย่างเช่น ผมเขียนคู่มือสอนเขียนบทความในรูปแบบ E-E-A-T เพราะนำไปเขียนแล้วได้ผลลัพธ์จริง มีลูกค้าซื้อสินค้าผ่านบทความของเราจริง และมีทราฟิกคุณภาพสูงเข้าสู่เว็บไซต์ของเราจริง หรือ

งานเขียนที่เกี่ยวกับการรีวิวสินค้าหรือบริการที่ใช้งานจริง แบบนี้ทาง Google จะพิจารณาให้ความสำคัญเป็นพิเศษกว่าบทความที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่องาน affiliate เพียงอย่างเดียว

2.Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

องค์ประกอบของ บทความคุณภาพสูง คือ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดย Google คาดหวังว่าผู้เขียนบทความนั้นจะต้อง มีชื่อเสียง หรือมีความรู้ที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง เช่น ถ้าคุณเขียนบทความสอนภาษาอังกฤษ ระบบก็จะคาดหวังว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้เช่น มีใบประกาศรับรองการเป็นผู้สอนวิชาชีพ เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ตั้งชื่อโดเมนเฉย ๆ แล้วจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ

เช่น เราสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ แล้วตั้งชื่อว่า teachernarudol.com แค่นี้พอ ไม่ใช่! เราต้องแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในหลักปฏิบัติ ข้อมูลตรงนี้จะอยู่ในหน้าเพจที่เรียกว่า Author page ที่หลาย ๆ คนลืมไป (ตรงนี้คือโอกาสทองใหม่ของนักเขียนเลย)

ยิ่งเรามีใบอบรมแสดงถึงความเชี่ยวชาญ หรือมีเว็บอื่นๆ พูดถึงความสามารถพิเศษเฉพาะด้านของเรามากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลให้บทความที่เราเขียนขึ้นมานั้น มีคุณภาพสูงตามวิธีการมองของ Google มากขึ้นเท่านั้น

3.Authoritativeness (อำนาจ/อิทธิพล)

ตรงนี้คือ การแชร์บทความ การถูกกล่าวถึงในความคิดเห็น สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างอิทธิพลขึ้นมาทั้งสิ้น และถือเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นการเขียนบทความเสร็จเพียงอย่างเดียวจึงไม่พอ แต่ควรทำให้บทความถูกเผยแพร่อย่างหลากหลาย และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากภายใต้บทความ

4.trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล คืออีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่สุด อาทิเช่นการอ้างอิงบทความคุณภาพสูงอื่น ๆ การใช้ข้อมูลงานวิจัยประกอบการเขียนที่ทันสมัยล่าสุด รวมทั้งเรื่องทางเทคนิคเช่น การใช้ HTTPS, การเพิ่มข้อมูลการติดต่อทางธุรกิจ นโยบายความเป็นส่วนตัว ช่องทางการติดต่อ อะไรก็ได้ที่แสดงความน่าเชื่อถือของผู้เขียนและเนื้อหา โดยเฉพาะจากองค์ดรภายนอก

หากจะเปรียบ E-E-A-T เหมือนกับเก้าอี้ ที่มีขาหลัก 4 ขา ซึ่งหากขาดขาใดขาหนึ่งไปก็อาจทำให้เก้าอ้นั้นล้มลงมาได้

ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจรูปแบบ E-E-A-T แล้ว สิ่งต่อไปที่เราจะเอามาใช้คือ การประยุกต์หลักการนี้เข้ากับ รูปแบบของบทความ ที่เราจะเขียนขึ้นมา ซึ่งหากเรากำหนดรูปบบให้ชัดเจนขึ้น มีกรอบการเขียนบทความที่ชัดเจนขึ้นและเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน

ก็อาจช่วยให้การสร้างสรรค์งานเขียนที่มีคุณภาพสูง เป็นไปได้และทำได้จริงมากขึ้น ดังนั้นในหัวข้อต่อไป ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการปรยุกต์ใช้ E•E•A•T สู่ ABCD Model ในการเขียนบทความครับ


PATTERN ใช้จริงในการเขียนบทความ

ชื่อเรื่อง …
ท่อนเกริ่นนำ …
ท่อนเนื้อหา …
ท่อนสรุป…
รูปแบบการเขียนบทความดั้มเดิม

ก่อนอื่นผมอยากจะทบทวน โครงสร้างบทความพื้นฐานซึ่งผมนำมาใช้เขียนบทความขายก่อน และผมเชื่อว่าบทความทุกบทที่นักเขียนส่วนใหญ่เขียนก็จะมีกรอบโครงสร้างคล้ายกันดังนี้ คือ…

1.ชื่อเรื่อง (Title)

ชื่อเรื่องคือหัวข้อสำคัญที่สุด ที่กำหนดเนื้อหาของบทความทั้งหมด ซึ่งมีวิธีการตั้งชื่อเรื่องที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น การใช้ตัวเลข การเขียนตัวอักษรไม่เกิน 55 ตัวอักษรไทย เป็นต้น แต่เดี๋ยวผมจะสอนวิธีตั้งตามแบบ EEAT ให้ในช่วงต่อไป

2.ท่อนเกริ่นนำ (Intro)

ท่อนนี้มักจะมีประมาณ 3-5 บรรทัด เป็นท่อนที่กล่าวถึงเรื่องราวที่จะเขียน ปัญหา หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ มักนิยมบรรจุ keyword ลงไปด้วย เพื่อให้ส่งผลดีทาง SEO

3.ท่อนเนื้อหา (Content)

ท่อนนี้คือในส่วนของเนื้อหาบทความ บ้างก็เขียนบรรยาย บ้างก็เขียนลักษณะเป็นหัวข้อย่อย 1. 2. 3. เป็นต้น แต่ถือเป็นส่วนที่มีความยาวมากที่สุดในบทความ ซึ่งมักจะสอนถึงความรู้ต่างๆลงไปตรงท่อนนี้

4.ท่อนสรุป

ในส่วนของท่อนนี้จะเป็นการนำเสนอเนื้อหา

ซึ่งไม่ว่าคุณจะอ่านบทความบนเว็บที่ไหนก็ตาม ก็มักจะมีกรอบการเขียนแบบนี้ ซึ่งในปัจจุบันก็สามารถใช้เขียนบทความได้จริงทั้งเขียนบทความลงเว็บตนเอง หรือเขียนบทความขาย

ตัวผมเองก็ใช้รูปแบบนี้ (Pattern A1) เขียนบทความขายอยู่หลายปีครับ ให้ผลดีทั้งในแง่ SEO และในแง่ของการสร้างรายได้ passive income จาก affiliate

แต่เนื่องจากเรากำลังจะเดินทางก้าวไปสู่ บทความคุณภาพสูง ที่เขียนขึ้นตามหลัก EEAT ดังนั้นรูปแบบของเนื้อหาแต่ละส่วนก็จะแตกต่างกันออกไป โดยมีลำดับการคิดและเขียนออกมาดังนี้ครับ


Pattern E-E-A-T

ชื่อเรื่อง … ดึงดูด + ประสบการณ์จริง
ท่อนเกริ่นนำ …ปัญหา + คุณเคยผ่านมาก่อน + บอกสิ่งที่จะเล่า
ท่อนเนื้อหา … a > b > c > d
ท่อนสรุป…สรุปผลลัพธ์ทั้งหมดอีกครั้ง
CTA...ชวนคลิก/แสดงความเห็น/แชร์
รูปแบบการเขียนบทความบนหลักการ E-E-A-T

คราวนี้เราจะมาปรับ E-E-A-T ให้เข้ากับรูปแบบบทความที่เราจะนำไปใช้เขียนกันครับ โดยผมจะค่อยๆใส่ข้อมูลเข้าไปในทีละจุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.ชื่อเรื่อง

ดึงดูด + ประสบการณ์จริง

ชื่อเรื่องที่ดีควรให้ความรู้สึกดึงดูด (ให้อยากอ่าน) และเสริมด้วยประสบการณ์เข้าไปในชื่อเรื่อง โดยสิ่งนั้นควรเป็นสิ่งที่คุณเคยทำ เคยลอง เคยใช้จริงซึ่งต้องมาจากประสบการณ์จริงเท่านั้น เช่น… “ผมลดหนี้เกือบ 200,000 บาทในระยะเวลา 8 เดือน เพียงแค่นั่งอยู่หน้าคอม คุณอยากรู้ไหมคืออะไร” หรือ “ผมทดลองใช้เครื่อง CCAP เพื่อแก้ปัญหาการนอนเป็นเวลา 30 วัน และนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น!”

เทคนิคการตั้งชื่อเรื่องโดยสรุป

1.ใช้คำว่า “ผม” หรือ “ฉัน”
2.ระบุประสบการณ์จริง “เกิดขึ้นจริง” หรือ “เคยเจอ”
3.ใช้ตัวเลข หรือการระบุระยะเวลาด้วยเสมอ
4.ระบุผลลัพธ์ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ผู้อ่านควรรู้
5.อาจใช้คำถามปลายเปิดกระตุ้นความอยากรู้ เช่น “ทำไมผมถึงเลือก…” หรือ “คุณเคย…ไหม”
6.ใช้คำชี้เฉพาะเจาะจงเช่น “แบบที่ผมใช้เอง” หรือ “ฉบับเต็ม” หรือ “จริง 100%” เพื่อเพิ่มความโปร่งใส
7.เขียนถึงความล้มเหลว หรือความผิดพลาด เพื่อเพิ่ม trust และ experience

ตัวอย่างการตั้งชื่อเรื่องตามแนวคิด E-E-A-T

คราวนี้ผมจะนำเอาเทคนิคข้างต้นมาประยุกต์ใช้เป็นชื่อเรื่องตัวอย่าง เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นภาพ และสามารถนำไปออกแบบเป็นชื่อเรื่องในแบบของตนเองได้ครับ โดยตัวอย่างมีดังนี้

ผมเริ่มต้น [เรื่อง] ได้ยังไง ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยในตอนแรก
[สิ่งที่ทำ] ครั้งแรกในชีวิตและบทเรียนที่ไม่มีวันลืม
จาก 0 ถึง [ผลลัพธ์] เส้นทางจริงของผมในโลก [Keyword]
จากมือใหม่สู่ [ความสำเร็จ] 30 วัน ของการทำ [สิ่งที่ทำ]
[10 ข้อคิด] ที่ผมอยากบอกตนเองเมื่อ [X] ปีก่อน
คู่มือฉบับเต็ม [วิธีการ/กระบวนการ] สำหรับ [ผู้เริ่มต้น/ผู้เชี่ยวชาญ]
[Checklist] ที่ผมใช้เป็นประจำสำหรับ [งาน/กิจกรรม] ประสบความสำเร็จทุกครั้ง

คุณสามารถใช้องค์ความรู้ข้างต้นประยุกต์กับหลักการเพื่อออกแบบ Topic ในแบบที่เป็นตัวคุณได้ทันที และในลำดับต่อไปเราจะมาดูวิธีการเขียนเนื้อหาในท่อนเกริ่นนำ (intro) ตามแบบฉบับของ E-E-A-T ครับ

2.ท่อนเกริ่นนำ

ปัญหา + คุณเคยผ่านมาก่อน + บอกสิ่งที่จะเล่า

เทคนิคการเขียนท่อนเกริ่นนำ

1.ใช้ Hook ดึงความสนใจ > ตั้งคำถาม > เล่าเคสหรือปัญหาที่ตรงใจ
2.แสดงประสบการณ์ตรง > เคยเจอหรือเคยทำมา
3.แสดงความเชี่ยวชาญ > เคยเจอ, เคยทำ หรือ ผ่านอะไรมา
4.แสดงเหตุผลว่าทำไมควรอ่านต่อ

โดยหลักแล้วท่อนเกริ่นนำ เราควรกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน โดยปัญหานั้นคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือและ ควรเกิดขึ้นกับคนส่วนมากด้วย เพื่อให้ประเด็นปัญหานั้นน่าสนใจ อาทิเช่น “คุณเคยมีปัญหาเหงื่อออกมากทุกครั้งที่เจอผู้คนไหมครับ? ผมเองก็เคยเจอปัญหาเช่นนั้น”

หรือ “ลองคิดดูครับว่า ถ้าคุณต้องเจอกับ […] คุณจะทำอย่างไร”

เมื่อเราพูดถึงปัญหาแล้ว ส่วนต่อมาให้เราโยงปัญหาให้เห็นว่า ตัวคุณ เคยผ่านปัญหานั้นมาก่อน และสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ ซึ่งวิธีการบรรยายตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะการเขียนของแต่ละคนครับ

หลังจากนั้นแล้ว เราก็ะพาผู้อ่านเดินทางตบท้ายในท่อน intro ว่า เหตุผลอะไรที่ควรอ่านบทความนี้ต่อ เช่น “ถ้าคุณอยากแก้ปัญหานี้ได้เหมือนกับผม” หรือ “ในเนื้อหาต่อไป คุณจะได้พบกับวิธี…ที่ทำให้เหตุการณ์นั้นๆดีขึ้น”

ตัวอย่างการเขียนท่อนเกริ่นนำ

ชื่อเรื่อง แชร์ประสบการณ์ฝึก Single tasking เปลี่ยนชีวิตผมยังไงใน 30 วัน

เกริ่นนำ คุณรู้สึกไหมครับว่า แต่ละวันที่ผ่านไป แม้คุณพยายามจะทำงานให้เสร็จด้วยเครื่องมือ และเทคโนโลยี Multi tasking เท่าไหร่ ก็ไม่ทำให้งานเสร็จทันตามกำหนดเลย แถมยังทำให้หมดไฟเร็วเสียด้วย

ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์นี้เหมือนกันครับ ผมเองเมื่อทำอะไรก็มักจะทำหลายๆอย่างไปพร้อม ๆ กัน เพราะคิดว่าจะช่วยให้งานเสร็จเร็วมากขึ้น แต่พอทำไปนานๆเข้า กลับกลายเป็นว่าผมทำงานช้าลง สมองเบลอ และหมดไฟในตัว

ดังนั้นในฐานะ Freelance ผมปล่อยปัญหานี้ไปไม่ได้ครับ วันหนึ่งผมไปเจอบทความที่น่าสนใจของ Cal Newport ซึ่งเขียนเรื่องการทำ single tasking ผมจึงนำมาทดลองใช้ดูอย่างจริงจัง 30 วัน

ปรากฎว่าชีวิตหลังจากนั้นเปลี่ยนไปมากครับ งานเสร็จเร็วขึ้น ผมมีสมาธิมากขึ้น สุขภาพกายและจิตดีขึ้น เรียกว่าแค่เปลี่ยนแปลงวิธีทำงานเพียงอย่างเดียวกลับส่งผลลัพธ์ที่น่าทึ่งให้กับตัวผม

หากคุณอยากแก้ปัญหาแบบผม ลองอ่านบทความนี้ครับ ผมจะเล่าประสบการณ์ตรงะร้อมเทคนิคอย่างละเอียด ที่คุณสามารถเอาไปใช้งานได้ทันที เพื่อให้ชีวิตของคุณเดินช้าลงแต่เฉียบคมขึ้น เหมือนอย่างที่ผมเคยเจอครับ…

เป็นไงบ้างครับ พอมองเห็นแนวทางการเขียนท่อนเกริ่นนำตามรูปแบบ E-E-A-T ชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหม ในลำดับต่อไป เราจะไปลงรายละเอียดในท่อนเนื้อหา (content) ซึ่งถือเป้นท่อนที่สำคัญที่สุดของบทความครับ

3.ท่อนเนื้อหา

ในท่อนนี้ผมจะนำเสนอกรอบการเขียน ซึ่งเราแบ่งเป็น a-b-c-d โดยคุณอาจเขียนเรียงเนื้อหาไปตามข้อต่างๆนี้ หรืออาจเลือกหยิบเพียงท่อนใดท่อนหนึ่ง หรือเรียงท่อนใหม่ได้ตามความเหมาะสม แต่ถ้ากลัวว่าจะงงในการเขียน ก็สามารถใช้แม่แบบ คือเขียนเรียงไปตามแต่ละหัวข้อได้เลย

โดยผมจะแบ่งออกเป็นดังนี้

a.ประสบการณ์ตรง-ผมเคยเจอเรื่องนี้เมื่อ …
-ตอนนั้นผมลองทำแบบนี้…
-สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ…
-ผมรู้สึกว่า…
b.เทคนิค-วิธีที่ผมใช้คือ…
-หลักการและเบื้องหลังแนวทางนี้คือ…
-คุณสามารถทำตามด้วยขั้นตอนดังนี้…
-ตัวอย่างเช่น…
c.เสริมความน่าเชื่อถือ-ผมพบข้อมูลจาก…
-มีงานวิจัยของ…ยืนยันว่า…
-ผู้เชี่ยวชาญพูดไว้ว่า…
-จากการสัมภาษณ์ / หนังสือ ระบุว่า…
d.โปร่งใส / อุปสรรค-อย่างไรก็ตามผมพบว่า…
-สิ่งที่ยากคือ…
-ไม่ใช่ทุกคนจะใช้วิธีนี้ได้ผล เพราะ…
-ดังนั้นคุณต้องระวังเรื่องนี้ด้วย

ในท่อนแรกของเนื้อหา คุณควรเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตของคุณ หรือประสบการณ์ตรงที่คุณสัมผัสมา โดยเขียนให้เสมือนว่าผู้อ่านนั้นเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ สื่อถึงอารมณ์ ความเครียดจากปัญหา หรือความเสียใจ เศร้าใจ ความผิดหวัง ที่ปัญหานั้นก่อตัวขึ้นมา

ถ้าคุณเขียนท่อนนี้ดีมาก ผู้อ่านจะมีอารมณ์ร่วม และอยากติดตามคุณต่อเนื่อง

เมื่อคุณพาผู้อ่านคลุกฝุ่นกับปัญหาเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อไป คุณก็พาเขาเดินเข้ามาในโซน b. ซึ่งคุณจะไขปัญหาและเทคนิคที่ทำให้คุณสามารถเอาชนะปัญหานั้นได้ โดยปกติแล้ว เราจะนิยมเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ เช่น 1. 2. 3. เป็นต้น

เนื้อหาในส่วน b. นี้จะต้องเป็นข้อปฏิบัติที่คุณใช้จริง ทำจริง ต้องอธิบายประกอบแต่ละข้ออย่างชัดเจน

โดยในแต่ละข้อที่คุณอธิบาย คุณควรเสริมความน่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยบทวิจัย หรือความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่คุณนำเสนอ

หรือหากคุณไม่ต้องการเขียนลงในท่อน b. คุณอาจแยกท่อน c. ออกมาเป็นท่อนหลักเลยก็ได้ครับ โดยมากผมจะลงเนื้อหาอ้างอิงอย่างน้อย 5 รายการอ้างอิง ซึ่งจะปรากฎอยู่ทั่วทั้งบทความ หรือบางครั้งอาจจะปรากฎอยู่ในท่อนเนื้อหา c. เป็นหลักก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของบทความ

หลังจากเราปิดเนื้อหาในท่อน c. ได้แล้ว ท่อนสุดท้ายที่เราจะไปคือท่อน d. โดยท่อนนี้เราจะค้นหาข้อควรระวังของข้อมูลที่เรานำเสนอ หรือจุดผิดพลาด หรือจุดที่เรายังกังวลใจต่อข้อมูล ตลอดแม้กระทั่งข้อมูลของเรานั้นยังไม่สามารถรับรองได้ 100% ว่าถูกต้อง

การให้ข้อมูลในทำนองนี้เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบทความ เพราะเป็นการนำเสนอให้ผู้อ่านได้มองเห็นมิติของข้อมูลรอบด้าน ก่อนที่จะนำข้อมูลของเราไปใช้ครับ

4.ท่อนสรุปเนื้อหา

สำหรับเนื้อหาท่อนสุดท้ายนั้นคือการสรุปเนื้อหาทั้งหมด เป็นการขมวดปมองค์ความรู้ทั้งหมดที่คุณต้องการถ่ายทอดให้กับผู้อ่านลงในตรงเนื้อหาตรงนี้ พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของสิ่งที่คุณนำเสนอ เนื้อหาส่วนนี้อาจยาวไม่มากนัก แต่เป็นจุดที่ผู้อ่านจะต้องรู้สึกเต็มอิ่ม เสมือนกับนั่งกินข้าวแล้วถึงจุดอิ่มพอดี

ส่วนความพอดีแค่ไหนจึงจะถือว่าอิ่มนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะ และประสบการณ์ของนักเขียนบทความท่านนั้น ๆ

หลังจากจบท่อนสรุปเนื้อหาแล้ว ผมคิดว่าอยากจะแถมอีกท่อนหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมากต่อเว็บไซต์นั่นคือท่อน CTA หรือ call to action ครับ

5.CTA (call to action)

ท่อนสุดท้ายที่ควรทำมากที่สุดนั่นคือ การทำ CTA หรือการเร่งเร้าให้ผู้อ่านทำกิจกรรมใด ๆ อย่างน้อยหนึ่งกิจกรรมหลังจากอ่านบทความจบ อาทิเช่น การแสดงความคิดเห็น การแชร์บทความ หรือการกดติดตาม ตลอดจนกรอกอีเมล์เพื่อรับข่าวสารจากเราผ่านทาง subscription เป็นต้น

กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นเสมือนแรงเสริมให้ผู้เขียนสามารถพัฒนางานเขียนได้ตลอดต่อเนื่องและมีกำลังใจ อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ผมเขียนตัวอย่างของการทำท่อน CTA ไว้ด้านล่าง สามารถเอาไปเป็นแนวทางการเขียนของคุณได้ครับ

ตัวอย่างการเขียนเนื้อหาท่อน CTA

ถ้าคุณชอบบทความแนว intentional living, minimalism และงานที่มีคุณค่าแบบนี้
ผมชวนคุณกดติดตามอัปเดตใหม่ ๆ ได้ทางอีเมล เพียงกรอกไว้ด้านล่าง แล้วเราจะเดินทางไปด้วยกันอย่างมีเป้าหมาย
บทความนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ
แต่ถ้าคุณกล้าลงมือเปลี่ยนแม้แค่วันละ 1 อย่าง ชีวิตทั้งระบบจะเปลี่ยนตาม
เริ่มวันนี้ แล้วคุณจะขอบคุณตัวเองในอีก 1 ปีข้างหน้า
หากบทความนี้ตรงใจคุณ หรือจุดประกายไอเดียบางอย่าง
ผมอยากฟังจากคุณเช่นกัน
คอมเมนต์หรือแชร์ความคิดของคุณไว้ด้านล่าง เพื่อสร้างวงสนทนาแบบ intentional ที่เราอยากเห็นในสังคมไทย

เมื่อเราปิดจบด้วยท่อนนี้ก็ถือว่าเนื้อหาบทความคุณภาพสูงแบบ E-E-A-T ของเราเสร้จสมบูรณ์แล้วครับ ขั้นตอนที่เหลือก็คงเป็นการปรับแต่ด้าน SEO on-page, ตรวจคำผิด, ใส่รูปภาพประกอบหรือคลิปวีดิโอ


สิ่งที่ควรระวังในการเขียนบทความแนว E-E-A-T

แม้ว่าเราจะตั้งใจเขียนบทความคุณภาพสูงตามแนว E-E-A-T อย่างดีแล้วก็ตาม แต่ยังมีหลายประเด็นที่คุณต้องระวัง หรือตระหนักไว้เสมอ ซึ่งจากประสบการณ์เขียนบทความของผม มีสิ่งที่เราต้องระวังดังนี้ครับ

1.เขียนโดยไม่มีประสบการณ์จริง

ข้อควรระวังอย่างมากข้อแรกเลยคือ เขียนเรื่องนั้นมาจากสิ่งที่คุณไม่มีประสบการณ์จริง ซึ่งแม้ว่านักเขียนบทความจะมีความสามารถใช้ “จินตนาการ” ได้เหนือกว่าคนทั่วไป ทำให้สามารถเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวให้เสมือนกับเป็นเรื่องจริงได้ เช่น เขียนบทความเที่ยวญี่ปุ่น แต่ตนเองไม่เคยไปจริง หรือสอนใช้ชีวิตแบบ minimalism แต่ตนเองไม่เคยทำจริง

แม้ว่าเราอาจะหลอกผู้อ่านได้ แต่เราไม่สามารถหลอกจิตใจและความซื่อตรงต่อตนเองได้ จะส่งผลให้เมื่อจำนวนบทความของเราสะสมมาก ๆ ขึ้น มันจะไม่น่าเชื่อถือครับ และนั่นคืออันตรายที่สุดสำหรับนักเขียนบทความ ผมไม่อยากจะเดาเลยว่า หากวันหนึ่งผู้อ่านจับได้ว่าเราไม่ได้เป็นดังที่เขียน ผลลัพธ์จะเกิดอะไรขึ้น!

2.ลอกข้อมูลผู้อื่นมาเขียนโดยไม่อ้างอิง

เอาเข้าจริงงานเขียนบทความ บางองค์ความรู้ก็คล้าย ๆ กัน หรือแทบจะเหมือนกันเพราะนักเขียนสามารถคิดองค์ความรู้เพอื่แก้ปัญหานั้นขึ้นมาเองได้ แต่ในความคิดของผม ผมอยากให้ระวังเรื่องนี้ให้มากครับ เพราะถ้าเป็นความรู้ที่เราไม่ได้คิดขึ้นเอง และมีผูัคิดและออกแบบวิธีแก้ปัญหาอยู่ก่อนแล้ว เราควรอ้างอิง อย่าไปกังวลเรื่องเทคนิคทาง SEO มากกว่าคุณค่าของบทความที่จะมอบให้ผู้อ่าน

ผมเองยอมรับครับว่า ในช่วงเวลาหนึ่งของการเขียนบทความแรก ๆ ผมก็เคยทำผิดหลักการข้อนี้เหมือนกัน และผลลัพธ์ที่ผมได้รับมันช่างไม่คุ้มค่าต่ออาชีพที่ผมรักนี้เลย ดังนั้นอย่าทำเด็ดขาดครับ

3.มีความรู้ แต่ไม่น่าเชื่อถือ

หากคุณตั้งใจเขียนบทความคุณภาพสูงอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ใส่ใจข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่งคือ Author หรือประวัติผู้เขียน ถือว่าพลาดมากครับ เพราะมันจะทำให้ข้อมูลของคุณขาดความน่าเชื่อถือ และดูเหมือนไป copy หรือให้ A.I. เขียนมากกว่า

ดังนั้นทุกครั้งที่ Post บทความลงเว็บ WordPress คุณต้องแน่ใจว่าข้อมูลในส่วนของ Author ของคุณชัดเจน มีคำอธิบายถึงความเชี่ยวชาญของคุณ มีลิ้งค์ไปหน้า Bio รวมทั้งควรมี Social media ของคุณปรากฎด้วย

ข้อมูลตรงนี้จะสร้างความน่าเชื่อถือและคุณค่าให้กับบทความเป็นอย่างมากทั้งในแง่ของผู้อ่าน ส่วนในแง่ของ SEO (สำคัญมากในปัจจุบัน) เชื่อผมไหมครับ การทำตรงนี้ถูกละเลยมาก! เพราะนักเขียนบทความลงเว็บส่วนใหญ่ ไม่ต้องการเปิดเผยตนเอง

เหตุผลหลักที่ไม่เปิดเผยก็เพราะข้อ 1. และ 2. ที่ผมเพิ่งกล่าวมานั่นเองครับ

ดังนั้น เราจึงพบความจริงข้อหนึ่งว่า เมื่อเราจ้างนักเขียนบทความเขียนบทความให้เราลงเว็บ นักเขียนส่วนใหญ่จะเขียนในรูปแบบ Ghost writer ซึ่งเมื่อส่งมอบบทความแล้ว คุณก็จะกลายเป็นเสมือนตัวนักเขียนเอง แต่สิ่งนี้มิใช่การมอบคุณค่าให้กับผู้อ่านโดยตรง วิธีที่ดีที่สุดคือ ใครเขียนบทความ คนนั้นคือผู้ที่ต้องมีชื่อใน Author ของบทความนั้นเท่านั้น

และการทำแบบนี้ เจ้าของเว็บจะได้ค่าคะแนน Author SEO score เหนือกว่าเว็บคู่แข่งขันทางธุรกิจมหาศาลครับ

4.โฟกัส SEO มากเกินไปโดยไร้หัวใจของเนื้อหา

ความผิดพลาดเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ผมเองก็ทำมากที่สุดในช่วงของการเขียนบทความขาย ซึ่งพอเข้าใจได้ว่า เราถูกบีบด้วยความต้องการของลูกค้ารวมทั้งจำนวนคำไทยที่จำกัดต่อบทความ ทำให้ต้องมุ่งอัด SEO มากๆ หรือเป๊ะจนทำให้บทความเสียรูปทรงธรรมชาติไป

ผมเองไม่ปฏิเสธเรื่อง SEO และที่จริงมันสำคัญมาก แม้กระทั่งในบทความนี้ ผมก็ใส่ความเป็น SEO ลงไปด้วยเช่นเดียวกัน แต่การใส่จะต้องใส่อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รบกวนผู้อ่าน เสมือนคุณปรุงอาหารด้วยการโรยผงชูรสลงไป

ผู้รับประทานรับรู้ได้ว่าอาหารที่ทานนั้นมีผงชูรส แต่โดยรวมก็ไม่ทำให้อรรถรสในการรับประทานอาหารจานนี้หายไป ฉันใดก็ฉันนั้นครับ ให้เราเขียนบทความ SEO โดยคำนึงถึงแบบเดียวกันกับแนวคิดเรื่องผงชูรสนี้เลย

ส่วนใครจะปรุง SEO ลงบทความให้ดีมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถของคุณล่ะครับ

5.ขาดความโปร่งใส ใส่ affiliate แบบไม่ยั้ง

ข้อควรระวังข้อนี้ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์สำคัญคือ การพัฒนาเว็บที่ชื่อ gogodubai.net ซึ่งผมตั้งใจทำแบบ affiliate แบบจัด ๆ และใช้ A.I. ในการเขียนบทความ ผมลงทุนบินไปดูไบเพื่อทำเนื้อหาประกอบและถ่ายภาพเพิ่มเติม

หมดเงินทุนไปรวมๆกันน่าจะมากกว่า 300,000 บาท แต่ผลที่ได้คือ อัตรา bounce rate ที่สูงกว่า 75% และผมได้ค่าคอมรวมกันเพียง 10,000 กว่าบาทเท่านั้น แถมเบิกไม่ได้ด้วย

สุดท้ายเว็บล่ม เจ๊งอย่างไม่เป็นท่า

คำถามคือ อะไรคือหนึ่งในความคิดพลาด คำตอบคือ ผมยัด affiliate link แบบน่าเกลียดจาก booking.com และ klook.com มากจนผู้อ่านรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติของบทความ

รวมกับเนื้อหาหลอก ๆ ที่เขียนโดย A.I. ที่ผมโคตรภูมิใจนักหนาในวันนั้น แต่กลายเป็นเสีย (หมา) ในวันนี้

ดังนั้นอย่าทำแบบผมเด็ดขาด อย่าขาดความโปร่งใส หรือใส่ affiliate แบบไม่ยั้ง ผสมผสานให้พอดี ให้ลงตัว และไม่เบียดบังพื้นที่ของการเสพข้อมูลจากข้อความและเนื้อหามากเกินไป

ในความคิดผมนั้นคิดว่าแค่สัก 10% ของพื้นที่เนื้อหาทั้งหมดที่คุณจะใส่เป็น affiliate ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ผมคิดว่าห้าข้อนี้คือข้อควรระวังมากที่สุดและให้คำนึงถึงอยู่ภายในใจตลอดเวลาที่คุณเขียนบทความแบบ E-E-A-T ครับ


บทสรุปและการเริ่มต้นของคุณ

ตอนนี้เนื้อหาสำคัญของการเขียนบทความคุณภาพตามแนว E-E-A-T น่าจะครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ผมมั่นใจว่าตอนนี้คุณมีหลักการ และวิธีการเขียนบทความครบถ้วน สามารถที่จะนำไปใช้ได้ทันที

ผมอยากท้าทายคุณให้เริ่มต้นเขียนบทความแรกตามรูปแบบ E-E-A-T เลย อาจจะไม่ต้องเขียนยาวเป็นพันคำไทยก็ได้ แต่เป็นการเขียนเพื่อทบทวนและขัดเกลาองค์ความรู้ด้านนี้ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น

แค่ลองเขียนเพียงครั้งเดียว คุณก็จะจดจำความคิดรวบยอดของการเขียนได้อย่างแม่นยำตลอดไปครับ

ถ้าคุณชื่นชอบบทความของผมและมีความคิดเห็นเพิ่มเติม โปรดอย่าลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นในช่องว่างด้านล่างนะครับ และผมขอเชิญชวนให้คุณกรอกอีเมล์ เพื่อรับข่าวสารบทความดีๆจากผม ซึ่งผมจะส่งตรงถึงคณก่อนใคร และหากบทความนี้เป้นประโยชน์ต่อคนรู้จักหรือคนที่คุณรัก โปรดกดแชร์บทความนี้ออกไป นอกจากคุณจะได้สร้างวิทยาทานเป็นกุศลแล้ว คุณยังสร้างกำลังใจให้ผู้เขียนอีกด้วย

ขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านบทความของผมมาถึงตรงนี้ ขอให้คุณเพลิดเพลินกับการใช้ความรู้ในบทความนี้เพื่อความสำเร็จส่วนบุคคลของคุณ แล้วพบกันในบทความต่อไป ; )

ข้อมูลอ้างอิง

อัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินคุณภาพ E-E-A-T ที่จะมี E (Experience) เพิ่มมาอีกหนึ่งตัว
https://developers.google.com/search/blog/2022/12/google-raters-guidelines-e-e-a-t?hl=th
คำแนะนำของ Google Search เกี่ยวกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI https://developers.google.com/search/blog/2023/02/google-search-and-ai-content?hl=th
What Is E-E-A-T & How Does It Influence SEO?
https://victorious.com/blog/what-is-e-a-t
Google E-E-A-T: What Is It & How To Demonstrate It For SEO
https://www.searchenginejournal.com/google-e-e-a-t-how-to-demonstrate-first-hand-experience/474446/

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top