
คุณอยากมีชีวิต รวยเงียบ ไหมครับ? รวยและมั่งคั่งโดยไม่ต้องเป็นจุดสนใจของใคร ไม่ต้องแข่งขันหรืออวดใคร ผมเองก็เคยถามคำถามนี้กับตัวเองเช่นกัน จนได้ค้นพบแนวคิดที่เรียกว่า “วิธีรวยเงียบแบบญี่ปุ่น”
หัวใจสำคัญของวิถีนี้อยู่ที่ 4 ปรัชญา คือ Mottainai, Kakeibo, Danshari และ Ikigai ซึ่งชาวญี่ปุ่นจำนวนมากใช้เป็นหลักดำเนินชีวิต และผมเองได้ลองนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันจริง ๆ
ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย รายได้ของผมเพิ่มขึ้นกว่า 100% มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ใช้ชีวิตสงบขึ้น โดยไม่ต้องเสี่ยงเกินไปหรือทำงานหักโหม ที่สำคัญคือผมไม่จำเป็นต้องอวด แต่ยังมั่นใจได้ว่าชีวิตมีฐานะที่มั่นคงและเรียบง่าย
เพื่อให้คุณเข้าถึงแนวคิดนี้ได้ง่าย ผมได้สรุปออกมาเป็น 40 วิธีรวยเงียบแบบญี่ปุ่น โดยใช้หลักการทั้งสี่ข้อข้างต้น และทุกวิธีเป็นสิ่งที่ผมทดลองทำจริงในชีวิต 100%
ถ้าคุณพร้อมที่จะสร้างวิถีชีวิต รวยเงียบแบบญี่ปุ่น แล้ว ลองไปเริ่มต้นไปด้วยกันครับ
1.เสียดายอย่างถูกจุด (Mottainai – もったいない)
แนวคิดแรกของการใช้ชีวิตแบบ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ผมชอบมาก คือการถามตัวเองเสมอว่า “สิ่งที่เราซื้อ ใช้ หรือกำลังจะทิ้ง เราได้ใช้มันคุ้มค่าที่สุดแล้วหรือยัง?”
กรอบความคิดนี้ตรงกับคำว่า Mottainai (もったいない) ที่แปลตรง ๆ ว่า “เสียดาย” แต่ในความหมายของญี่ปุ่น ไม่ได้หมายถึงความขี้เหนียวหรือหวงของเกินเหตุ หากแต่คือ การเคารพและใช้สิ่งของอย่างเต็มคุณค่า
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เขาสอนกันว่าอย่าปล่อยให้ของเสียเปล่าโดยไม่จำเป็น เช่น ใช้สมุดจนถึงหน้าสุดท้ายก่อนซื้อใหม่ ใช้เสื้อผ้าจนกว่าจะซ่อมไม่ได้แล้วจริง ๆ จึงค่อยทิ้ง หรือแม้แต่แนวคิด Kintsugi ที่ซ่อมถ้วยแตกด้วยทอง เพื่อทำให้สิ่งที่ชำรุดกลับมามีคุณค่าและความงามมากกว่าเดิม (อ้างอิง: Mottainai Wikipedia)
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ “Mottainai” ยังสอนให้เราเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งของเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน เวลา วัตถุดิบ พลังงาน หรือคนที่สร้างมันขึ้นมา
ผมลองนำมาปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ เช่น
กินอาหารให้หมดจาน ตักเท่าที่พอ กินโดยไม่เหลือทิ้ง |
เสื้อผ้า ถ้ายังใส่ได้ก็ใช้ต่อ ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นผ้าเช็ดทำความสะอาด หรือถ้าอยู่ในสภาพดีพอก็ขายหรือนำไปบริจาคทันที |
ของที่ไม่ได้ใช้ ผมใส่กล่อง “พัก 30 วัน” ถ้ายังไม่หยิบใช้เลย ก็จัดการขายหรือบริจาคออกไป |
บนโลกดิจิทัล ผมเคลียร์ไฟล์ จัดโฟลเดอร์เพื่อลดความซ้ำซ้อน จนไม่ต้องเสียเงินซื้อ Cloud เพิ่มรายเดือน |
เงินที่อาจเคยใช้ไปกับของฟุ่มเฟือย ผมโอนเข้าไปลงทุนในทรัพย์สินระยะยาว เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน |
สำหรับผม Mottainai ไม่ใช่แค่การเสียดาย แต่คือการเคารพทุกสิ่งที่เรามี และเมื่อทำต่อเนื่อง มันทำให้ชีวิตผม เรียบง่ายขึ้น ประหยัดขึ้น และรวยเงียบขึ้น โดยไม่ต้องอวดใครเลยครับ
2.หลักคิด Wabi-sabi (侘寂)
Wabi-Sabi (侘寂) คือปรัชญาญี่ปุ่นที่สอนให้เรามองเห็นความงดงามจาก ความเรียบง่าย ความไม่สมบูรณ์ และความไม่ยั่งยืน เป็นการมองโลกด้วยสายตาที่อ่อนโยนต่อสิ่งรอบตัว ตัวอย่างเช่น โต๊ะไม้ที่ซีดลงตามกาลเวลา ถ้วยดินเผาที่มีรอยแตก หรือใบไม้ที่ร่วงหล่นสู่พื้น สิ่งเหล่านี้อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่กลับเต็มไปด้วยคุณค่าในแบบของมันเอง (อ้างอิง: What is Wabi Sabi? The Elusive Beauty of Imperfection, Japan Objects)
หัวใจของ Wabi-Sabi มี 3 อย่างที่ผมชอบมาก
ความเรียบง่าย (Simplicity) ตัดสิ่งที่เกินออก เหลือไว้เฉพาะสิ่งจำเป็น |
ความไม่สมบูรณ์ (Imperfection) ยอมรับข้อบกพร่องและเห็นคุณค่าในนั้น |
ความไม่ยั่งยืน (Impermanence) ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป |
ผมลองเอามาใช้ในชีวิตจริง เริ่มจากการปล่อยให้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีร่องรอยของกาลเวลาบ้าง ไม่ต้องบังคับให้ทุกอย่างดูใหม่เสมอ ผมเลือกแต่งตัวเรียบง่าย ไม่ต้องตามแฟชั่นทุกรุ่น และที่สำคัญคือผมเริ่ม ชื่นชมธรรมชาติรอบตัว ต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้แต่ความเงียบในยามเช้า เพราะมันทำให้ผมเข้าใจว่า ความงามไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ
สำหรับผม Wabi-Sabi ไม่ได้เป็นเพียงความงามเชิงศิลป์ แต่เป็นกรอบคิดที่ทำให้ชีวิตนิ่ง เรียบง่าย และช่วยเสริมเส้นทาง “รวยเงียบแบบญี่ปุ่น” ได้จริง ๆ ครับ
3.เว้นช่องว่างให้ชีวิตบ้าง Ma (間)
คนญี่ปุ่นมีคำว่า Ma (間) ซึ่งหมายถึง “ช่องว่าง” หรือ “พื้นที่ว่างระหว่างสิ่งต่าง ๆ” ทั้งในเชิงศิลปะ ดนตรี และการใช้ชีวิต หลักคิดนี้สอนเราว่า ชีวิตไม่ควรถูกบีบอัดแน่นเกินไป แต่ควรเหลือพื้นที่หายใจเอาไว้เสมอ (อ้างอิง: Japan’s Changing Attitude to Smoking, Nippon)
ผมลองนำหลักคิด Ma มาปรับใช้กับ การเงินส่วนตัว โดยเพิ่มงบประมาณก้อนหนึ่งที่ผมเรียกว่า “งบกันพลาด” ตั้งไว้ประมาณ 10–15% ของค่าใช้จ่ายครัวเรือนรายเดือน
ตัวอย่างเช่น รายจ่ายครอบครัวผมปัจจุบันอยู่ที่ราว ๆ 41,000 บาท/เดือน ผมก็กันไว้ประมาณ 4,100–4,700 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่บวมขึ้นแบบไม่คาดคิด เช่น ค่าไฟที่เดือนนั้นใช้เยอะกว่าปกติ หรือค่าอาหารที่สูงขึ้นกะทันหัน
การเว้น “ช่องว่างทางการเงิน” แบบนี้ ทำให้ผมไม่เครียดเวลาเจอรายจ่ายเกินแผน เพราะผมเตรียมไว้แล้ว ที่สำคัญคือถ้างบกันพลาดไม่ถูกใช้จริง ๆ มันก็กลายเป็นเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นอัตโนมัติในแต่ละเดือน
นี่แหละครับ พลังของ Ma ช่องว่างเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเบาลงทั้งในเรื่องเวลาและการเงิน และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เพื่อเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น
4.Kaizen 1% ต่อวัน ปรับเล็กน้อย แต่เปลี่ยนยิ่งใหญ่
Kaizen (改善) คือหลักคิดของญี่ปุ่นที่หมายถึง “การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง” แม้จะเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน แต่เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ผลลัพธ์จะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคาดคิด หลักการนี้ถูกใช้ทั้งในธุรกิจญี่ปุ่นระดับโลก ไปจนถึงการใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมลองนำแนวคิด Kaizen 1% ต่อวัน มาปรับใช้กับการเงินของตัวเอง โดยเริ่มจาก การออมเงิน เดิมทีผมตั้งเป้าออมเดือนละ 10% เข้ากองทุนอิสรภาพทางการเงิน แต่ทุกครั้งที่ฐานรายได้ขยับขึ้น ผมก็จะเพิ่มสัดส่วนการออมอีก 1–2% เสมอ แม้ดูเหมือนน้อย แต่เมื่อรวมกันทั้งปีแล้ว ผมพบว่าตัวเองสามารถเพิ่มสัดส่วนการออมได้มากกว่า 5–10% ต่อปี ซึ่งทำให้ผมเข้าใกล้เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่แค่เรื่องการออม ผมยังใช้ Kaizen กับ การลดรายจ่าย ด้วยครับ รายจ่ายประจำเดือนของผมอยู่ราว ๆ 41,000 บาท แต่ผมจะคอยถามตัวเองเสมอว่า “พอจะลดลงได้อีกไหม อย่างน้อย 100–500 บาท?” เมื่อทำต่อเนื่องทั้งปี ผมคำนวณแล้วพบว่า ผมลดรายจ่ายได้มากกว่า 10,000 บาท โดยไม่กระทบกับคุณภาพชีวิตเลย
นี่คือพลังของ Kaizen ที่ผมใช้ในชีวิตจริง ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่พอทำเล็กน้อยทุกวันก็ทำให้ผมเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้อย่างมั่นคงครับ
5.Shokunin Mindset ทำงานให้เนี้ยบ เงียบ และเนียน
หลักคิด Shokunin (職人) มาจากวัฒนธรรมช่างฝีมือญี่ปุ่นที่เชื่อว่า การทำงานใด ๆ ต้องทำด้วยความตั้งใจ ละเอียด และให้เกียรติในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อคุณภาพและคุณค่าที่แท้จริง (อ้างอิง: )
ผมประยุกต์หลักคิดนี้ให้กลายเป็น mindset ในชีวิตประจำวัน ว่า “ไม่ว่าทำอะไร ให้ทำสิ่งนั้นอย่างเดียว และทำให้ดีที่สุด” หรือที่บางคนเรียกว่า Single Tasking / Deep Work
เวลา รับประทานอาหาร ผมจะไม่เปิดข่าวหรือเลื่อนมือถือไปด้วย แต่ผมเลือกโฟกัสกับอาหารตรงหน้า เคี้ยวช้า ๆ รับรู้รสชาติ และขอบคุณคนที่ปลูก ขนส่ง และปรุงมันให้กลายมาเป็นมื้อของผม
เวลา ทำงาน ผมจะโฟกัสกับสิ่งตรงหน้าเท่านั้น ไม่เปิด multitasking ไม่ปล่อยให้สิ่งเร้ามารบกวน เพราะเมื่อให้ความใส่ใจกับงานชิ้นเดียว ผลงานจะออกมาคมชัด และเสร็จเร็วกว่า
เมื่อผมใช้ Shokunin Mindset กับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต ผมพบว่า สมาธิเพิ่มขึ้น 100% งานเสร็จไวขึ้น และยังรู้สึกอิ่มเอมใจในทุกกิจกรรม มันเป็นความสุขเงียบ ๆ ที่ลึกซึ้ง และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยพาผมเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น อย่างแท้จริง
6.Kakeibo 4 คำถาม, สมุดบัญชีบ้านแบบญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงการบริหารเงินส่วนบุคคล หลักคิดที่ผมใช้แล้วเห็นผลชัดที่สุดคือ Kakeibo (家計簿) หรือ “สมุดบัญชีบ้าน” ของญี่ปุ่น ซึ่งถูกคิดค้นตั้งแต่ปี 1904 โดย Hani Motoko นักเขียนหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้ครอบครัวจัดการการเงินได้อย่างเป็นระบบ (อ้างอิง Kakeibo, Wikipedia)
หัวใจของ Kakeibo อยู่ที่ 4 คำถามง่าย ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตการเงินได้
1.คุณมีรายได้เท่าไหร่?
2.คุณใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่?
3.คุณอยากออมเท่าไหร่?
4.คุณจะลดรายจ่ายอะไรได้บ้าง?
ผมลองใช้วิธีนี้จริง ๆ โดยเริ่มจากการทำ บัญชีรายรับ–รายจ่ายรายเดือน อย่างมีวินัย ผมจดทุกบาทที่เข้ามา และทุกบาทที่จ่ายออกไป เมื่อทำแบบนี้ต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมเห็น “แม่น้ำทางการเงิน” ของตัวเองชัดเจนขึ้น 100% ว่ามันไหลเข้า–ไหลออกไปทางไหนบ้าง
จากตรงนั้นผมสามารถ “อุดรอยรั่ว” ได้ทันที เช่น ค่ากาแฟ ค่าซับสคริปชัน หรือค่าอาหารที่บวมเกินจำเป็น และยังรู้ด้วยว่าเงินส่วนไหนควรนำไปต่อยอดการออมและการลงทุน เมื่อเอา 4 คำถามนี้มาทบทวนทุกสัปดาห์ ผมพบว่าการเงินของผมยืดหยุ่นขึ้นมาก และมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สำหรับผม Kakeibo ไม่ใช่แค่การจดบัญชี แต่คือการสร้างความตระหนักทางการเงิน และเมื่อทำต่อเนื่อง มันกลายเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ทำให้ผม รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้เร็วและมั่นคงขึ้นจริง ๆ ครับ
7.จ่ายตัวเองก่อน (Pay Yourself First)
หนึ่งในกฎการเงินที่เรียบง่ายที่สุด แต่ทรงพลังที่สุดคือ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” (Pay Yourself First) ไม่ว่าคุณจะได้เงินจากช่องทางไหน เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส คอมมิชชั่นจาก affiliate หรือแม้แต่โชคจากการถูกหวย กฎคือ กันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้ตัวเองทันที ก่อนที่คุณจะนำไปใช้จ่ายเรื่องอื่น ๆ
หลักคิดนี้สอดคล้องกับวินัยการเงินของคนญี่ปุ่น ที่เมื่อได้เงินมา พวกเขาจะกันเงินเก็บทันทีอย่างน้อย 5–10% แล้วค่อยแบ่งส่วนที่เหลือไปใช้ชีวิตประจำวัน วิธีนี้ทำให้กองทุนอิสรภาพค่อย ๆ โตขึ้นทุกเดือน และที่สำคัญยังสร้าง “กำลังใจเงียบ ๆ” ให้เราทำงานต่อไปด้วย เพราะรู้ว่าทุกครั้งที่ได้เงิน เรากำลังใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ (อ้างอิง Kakeibo Budgeting Method, SoFi)
สำหรับผมเอง ผมตั้งกฎส่วนตัวที่ค่อนข้างเข้มข้นกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ออมทันที 40% ของรายรับทุกบาท ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กูรูการเงินมักแนะนำไว้ที่ประมาณ 10% ถึง 4 เท่า! เหตุผลก็เพราะผมต้องการให้เส้นทางไปสู่อิสรภาพทางการเงินของผม สั้นที่สุด ผมไม่อยากรอถึงวัยเกษียณค่อยมีเงินเหลือ แต่เลือกที่จะลงทุนลงแรงกับการออมตั้งแต่วันนี้
และผลลัพธ์มัน “โคตรเวิร์ก” สำหรับผมครับ เพราะการกันเงินออกทันที ทำให้ผม ไม่รู้สึกว่าเสียสละอะไร ชีวิตยังดำเนินไปตามปกติ แต่กองทุนอิสรภาพกลับโตขึ้นทุกเดือน เหมือนเราได้สร้าง “ต้นไม้การเงิน” ที่จะให้ร่มเงาในอนาคต โดยไม่ต้องไปวิ่งหาผลตอบแทนหวือหวาหรือเสี่ยงเกินจำเป็น
เคล็ดลับที่ผมอยากแนะนำคือ
ตั้งอัตโนมัติทุกครั้งที่เงินเข้า ให้โอนอัตโนมัติไปยังบัญชีออม/กองทุนทันที จะได้ไม่เผลอใช้
แยกบัญชี ใช้บัญชีเฉพาะ “อิสรภาพทางการเงิน” ไม่รวมกับเงินหมุนเวียนประจำวัน
เพิ่มสัดส่วนทีละนิด ถ้ายังไม่ถึง 40% เหมือนผม เริ่มที่ 10% ก่อน แล้วค่อยขยับเพิ่มปีละ 2–5% ตามกำลัง
สำหรับผม การ จ่ายให้ตัวเองก่อน ไม่ใช่แค่เทคนิคการเงิน แต่มันคือ ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบรวยเงียบแบบญี่ปุ่น เพราะคุณจะได้ความมั่นคงโดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ เงินทำงานเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลัง และคุณก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายได้อย่างมั่นใจครับ
8.ซองเงิน 5 ใบ (จำเป็น/ผันผวน/ลงทุน/สำรอง/ให้กลับสังคม)
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้การเงินของผม “เป็นระบบและเติบโตชัดเจน” คือการแบ่งเงินออกเป็น 5 ซองหลัก ๆ ซึ่งแนวคิดนี้จริง ๆ สอดคล้องกับทั้งปรัชญา Kakeibo ของญี่ปุ่น และเทคนิคการจัดการเงินสมัยใหม่อย่าง (อ้างอิง: Kakeibo: The Japanese art of budgeting and saving money, Chase)
ซองเงิน | คำอธิบาย |
---|---|
ใบที่ 1 จำเป็น (รายจ่ายประจำเดือน/ปี) | สำหรับค่าใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายปี เช่น ค่าประกันหรือภาษี |
ใบที่ 2 ผันผวน (งบกันพลาด) | กันไว้ 10–15% ของรายจ่ายประจำ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่อาจบวมขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น ค่าไฟ ค่าอาหาร หรือค่ารักษาพยาบาลเล็ก ๆ น้อย ๆ |
ใบที่ 3 ลงทุน (อิสรภาพทางการเงิน) | เงินที่กันไว้เพื่อสร้างอนาคต ลงทุนในกองทุน หุ้น หรือสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดระยะยาว |
ใบที่ 4 สำรอง (Emergency fund) | เงินกันไว้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย หรือค่าใช้จ่ายที่เกินควบคุม ควรสะสมให้ได้อย่างน้อย 6–12 เดือนของรายจ่าย |
ใบที่ 5 ให้กลับสังคม (บริจาค) | ส่วนเล็ก ๆ ที่กันไว้สำหรับการบริจาค ทำบุญ หรือช่วยเหลือคนรอบตัว เพื่อให้การเงินเราไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ยังส่งต่อคุณค่ากลับคืนสู่สังคม |
สิ่งที่ผมชอบที่สุดของ ซองเงิน 5 ใบ คือมันช่วยให้ผม ไม่ปะปนรายจ่ายกัน เห็นชัดว่ากองไหนใช้ไปเท่าไหร่ กองไหนยังเหลือ กองไหนเติบโต และกองไหนทำหน้าที่เพื่อสังคม เมื่อมองชัดแบบนี้ การวางแผนไปสู่เป้าหมายก็ง่ายขึ้น และเราจะเห็นการเงินที่แข็งแรงขึ้นแบบทีละก้าว
9.กองทุนฉุกเฉิน 6–12 เดือน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงแม้เจอเหตุไม่คาดคิด ก็คือการมีกองทุนฉุกเฉินติดตัวเสมอ หลักการง่าย ๆ คือ กองทุนนี้มีไว้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วยกะทันหัน รถเสีย บ้านต้องซ่อมด่วน หรือรายรับหายไปบางช่วง โดยไม่กระทบกับกองทุนลงทุนหรือเงินออมอนาคต (อ้างอิง Emergency Fund, Investpedia)
สำหรับผมในฐานะฟรีแลนซ์ กองทุนนี้คือ “กันชนชีวิต” ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผมตั้งบัญชี e-Saving ของ KBANK แยกไว้โดยเฉพาะ แล้วคำนวณจาก รายจ่ายครอบครัวต่อเดือน (41,000 บาท) × 12 เดือน = 492,000 บาท เมื่อสะสมครบแล้ว ผมถือว่ากองนี้เต็ม และจะไม่เพิ่มอีกต่อ แต่ถ้าวันใดต้องใช้จริง เช่น เจ็บป่วยหรือรายได้สะดุด ผมจะเบิกออกมาใช้ก่อน แล้วรีบเติมคืนให้เต็มเหมือนเดิมเสมอ
แนวคิดสำคัญคือ กองทุนฉุกเฉินไม่ใช่เงินลงทุน แต่เป็นเงิน “กันสะเทือน” ที่ช่วยรักษาความมั่นคงของทั้งครอบครัว ทำให้เราไม่ต้องไปขายทรัพย์สิน หรือตัดขาดทุนการลงทุนในช่วงเวลาที่เลวร้าย
ประเภทอาชีพ | จำนวนกองทุนฉุกเฉิน |
---|---|
พนักงานประจำ | 3–6 เดือนของรายจ่าย (รายได้ค่อนข้างมั่นคง) |
ฟรีแลนซ์ / เจ้าของกิจการ | 6–12 เดือนของรายจ่าย (รายได้ผันผวนสูง) |
ครอบครัวที่มีภาระเลี้ยงดู | ควรเผื่อ 12 เดือนขึ้นไป เพื่อความอุ่นใจ |
การตั้งกองทุนฉุกเฉินให้เต็มก่อน คือการสร้างฐานรากที่มั่นคง เมื่อฐานแน่นแล้ว การสร้างกองทุนอิสรภาพหรือกองทุนลงทุนก็จะเดินต่อได้เร็วขึ้น และนี่คืออีกหนึ่งเสาหลักที่พาผมสู่การ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น โดยไม่ต้องหวั่นไหวเวลาเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดครับ
10. Zero-Based Budget (งบประมาณแบบศูนย์เหลือ)
อีกหนึ่งวิธีจัดการเงินที่ผมใช้และได้ผลชัดเจนคือ Zero-Based Budget หรือ “งบประมาณแบบศูนย์เหลือ” ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและตะวันตก หลักคิดง่าย ๆ คือ รายได้ทุกบาทที่เข้ามาต้องถูกกำหนดหน้าที่จนหมด ไม่ปล่อยให้เหลือค้างโดยไร้ความหมาย (อ้างอิง: Zero-Based Budgeting, Investopedia)
วิธีการคือ สมมติคุณมีรายได้ 10,000 บาท คุณต้องจัดสรรให้ครบทุกบาท เช่น ค่าครองชีพ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, กองทุนฉุกเฉิน, การลงทุน หรือแม้แต่ค่ากาแฟรายวัน โดยเมื่อรวมแล้ว เงินเหลือในงบ = 0 ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีเงิน แต่หมายถึง ทุกบาทมีงานทำ
ผมชอบเปรียบเทียบรายได้เหมือน “ทหาร” หากมีทหาร 10,000 นาย ก็ต้องสั่งงานทุกนายให้มีหน้าที่ ไม่ปล่อยให้เดินลอยไปมาอย่างไร้ค่า ทหารบางนายไปเป็นค่าอาหาร บางนายไปอยู่กองทุนอิสรภาพ บางนายไปสร้างดอกผลในกองทุนลงทุน ทุกนายต้องทำงานเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน
ผมใช้วิธีนี้กับรายได้ทุกครั้ง โดยส่วนใหญ่เดือนละครั้ง แต่ถ้าเดือนไหนมีรายได้เข้ามาหลายรอบ ผมก็จะทำ Zero-Based Budget ทุกครั้งเช่นกัน เพราะยิ่งเรา “สั่งงาน” เงินเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าไม่มีบาทไหนรั่วไหลไปอย่างไร้ค่า
นี่คืออีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ผมคุมทัพการเงินได้เต็มที่ และเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของการเดินสู่เส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น อย่างมั่นคงครับ
11.No-Spend Days + No-Buy List
อีกหนึ่งเทคนิคที่ผมใช้แล้วช่วยได้มากคือการตั้ง No-Spend Days (วันไม่ใช้เงิน) และ No-Buy List (ลิสต์สิ่งที่ห้ามซื้อ) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ เพราะช่วยให้เราหยุด “การใช้จ่ายอัตโนมัติ” และกลับมามีสติทุกครั้งก่อนควักเงิน
วิธีการ
ผมจะกำหนดทุก วันจันทร์–ศุกร์ ของแต่ละสัปดาห์ให้เป็นวัน “ไม่ใช้เงิน” หรือ No-Spend Day ซึ่งแปลว่า ห้ามซื้อของกินเล่น กาแฟ น้ำมัน หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายจำเป็นจริง ๆ
ผมตั้งเป้าหมายให้ได้ประมาณ 20 วันต่อเดือน ที่ไม่ใช้เงินเลย แต่ถ้าเดือนไหนมีเหตุจำเป็น เช่น ออกไปทำงานนอกสถานที่ หรือมีการลงทุนด้านการเรียนรู้ ผมจะยืดหยุ่น ลดจำนวนวันลงได้บ้าง
ควบคู่กัน ผมทำ No-Buy List หรือ “ลิสต์สิ่งที่ห้ามซื้อ” เช่น เสื้อยืดใหม่ ๆ ที่ซ้ำกับของเดิม กาแฟราคาแพง หรือ Gadget เล็ก ๆ ที่ไม่ได้จำเป็นจริง ๆ ลิสต์นี้ทำให้ผมชัดเจนว่าอะไรคือ “สิ่งล่อใจ” ที่มักดูดเงินผมออกไปโดยไม่รู้ตัว
ผลลัพธ์ที่ได้คือ
ผมมี สมาธิกับการใช้เงินมากขึ้น
รู้สึกสบายใจว่า “เงินไม่รั่วไหลออกจากกระเป๋า” โดยไม่จำเป็น
ลดกิจกรรมเล็ก ๆ ที่มักทำให้เสียเงินโดยไม่รู้ตัว เช่น การซื้อกาแฟร้อนทุกเช้า
นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผมเดินอยู่บนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้อย่างมั่นคง และที่สำคัญคือได้ทั้ง “วินัย” และ “ความสุขใจ” ไปพร้อมกัน
12.Subscription Audit
หนึ่งในรายจ่ายที่อาจดูดเงินออกจากกระเป๋ามากที่สุดนั่นคือ Subscription ซึ่งอาจจะเป็น app ที่เผลอกดโดยไม่ตั้งใจและอาจตัดยอดเงินน้อยะ ๆ เช่น 50 บาทต่อเดือน แต่หากรวมมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นหลายร้อยหลายพันบาทได้โดยไม่รู้ตัว
คนรวยเงียบแบบญี่ปุ่นจะระวังรายจ่ายที่เกิดจากการ subscription มาก ๆ และหมั่นตรวจสอบรายจ่ายแบบนี้ทุกครั้งในแต่ละสัปดาห์
ผมเองก็เช่นกันครับ ผมค่อนข้างระวังกับรายจ่ายประเภท Subscription มาก ๆ ด้วยความที่ทำงานออนไลน์ บางครั้งรายจ่ายก็มาในรูปแบบให้ใช้ฟรี 14 วัน และค่อยตัดเงิน หรือใช้ฟรี 30 วันค่อยตัดเงิน ซึ่งหลายๆครั้งทำใฟ้ผมลืม!
ซึ่งปรากฎว่า เมื่อถึงจังหวะตัดเงินผมไม่ได้กด cancel ไปก่อน จนทำให้ผมมักเสียเงินโดยไม่จำเป็นไปกับก้อนนี้มาก ๆ ดังนั้นปัจจุบัน หากมีรายจ่ายที่จำเป็นประเภท subscription ผมจะยอมทำให้มันยุ่งยากขึ้นอีกขั้นตอนนั่นคือ ผมจะไปกด cancel subscription ไว้ก่อนเลย ผมยอมกดเชื่อมจ่ายใหม่ หากประสงค์จะใช้งานมันต่อ
แม้ขั้นตอนนี้จะยุ่งยากมากขึ้น แต่มันช่วยให้ผม Subscription Audit ได้ดีขึ้น และไม่เผลอเสียเงินโดยไม่จำเป็นด้วยครับ
13.กฎ 30 วันก่อนซื้อของแพง
อีกหนึ่ง “เคล็ดลับรวยเงียบ” ที่ผมชอบมากและได้แรงบันดาลใจจากคนญี่ปุ่น คือ กฎ 30 วันก่อนซื้อของแพง หลักคิดง่าย ๆ คือ เมื่อคุณอยากได้ของราคาแพง อย่าเพิ่งซื้อทันที แต่ให้จดสิ่งนั้นไว้ใน Wishlist และรออย่างน้อย 30 วันเต็ม แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
วิธีการนี้ช่วยลด “การซื้อด้วยอารมณ์ชั่ววูบ” (Impulse Buying) ซึ่งเป็นตัวดูดเงินก้อนใหญ่โดยไม่รู้ตัว ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้เพราะมันทำให้เราได้ เวลาคิดทบทวน ว่าสิ่งที่อยากซื้อนั้นคือความจำเป็นจริง ๆ หรือแค่ความอยากชั่วคราว
ผมเองก็รับเอาหลักการนี้มาใช้กับชีวิตจริง เช่น เวลาเจอน้ำหอมรุ่นที่ถูกใจ ผมจะ บันทึกไว้ใน Note บน iPhone แทนที่จะซื้อทันที จากนั้นทุกสิ้นเดือน ผมจะกลับมาดู Wishlist อีกครั้ง พร้อมถามตัวเองว่า “ยังอยากได้จริง ๆ ไหม? มันจำเป็นกับชีวิตตอนนี้หรือเปล่า?”
ผลลัพธ์ที่เจอแล้วอึ้งคือ เกือบ 40% ของสิ่งที่เคยอยากได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อจริง ๆ พอผ่านเวลาไป ผมลืมมันไปเอง หรือรู้สึกว่ามันไม่สำคัญอีกแล้ว ซึ่งหมายความว่าผมประหยัดเงินก้อนใหญ่ไปโดยไม่ต้องฝืนใจเลย
นี่แหละครับ เสน่ห์ของกฎ 30 วัน มันไม่ได้ห้ามเราใช้เงิน แต่ทำให้การใช้เงิน มีสติและมีคุณค่า มากขึ้น และกลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธลับที่ช่วยให้ผมเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้จริง ๆ
14.เข้า 1 ชิ้น ออก 1 ชิ้นเสมอ
แนวคิดนี้เป็นหนึ่งในหัวใจของ การจัดบ้านแบบมินิมอล และปรัชญา declutter ของญี่ปุ่น หลักการง่าย ๆ คือ ถ้ามีสิ่งของใหม่เข้ามา 1 ชิ้น ต้องมีสิ่งของเก่าออกไปอย่างน้อย 1–2 ชิ้น เพื่อไม่ให้จำนวนข้าวของเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็น
ผมเองนำหลักการนี้มาใช้จริง ทุกครั้งที่ซื้อของใหม่ ผมจะถามตัวเองว่า “ของเก่าชิ้นไหนที่ฉันจะเอาออกไปแทน?” เช่น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมซื้อน้ำหอมขนาด 50 ml ราคา 1,290 บาทเข้ามา 1 ขวด ผมก็ตัดสินใจบริจาคน้ำหอมที่เคยซื้อจากดูไบออกไป 2 ขวด (เพราะไม่ได้ใช้มาเกิน 3 ปีแล้ว)
ผมซื้อ Notebook เครื่องใหม่เข้ามา 1 ตัว ผมก็ขาย PC ตั้งโต๊ะเครื่องเก่าออกไปทันที และใช้เงินจากการขายมาช่วยจ่ายค่า Notebook ด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้คือ บ้านผมโล่งขึ้น ของที่เหลืออยู่ล้วนใช้งานได้จริง ไม่ใช่ของที่กองไว้เฉย ๆ ผมรู้สึกมีสมาธิมากขึ้น เวลามองรอบตัวไม่รกสายตา อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เลือกเก็บไว้ เพราะทุกชิ้นผ่านการคัดกรองแล้วว่ามีคุณค่าในชีวิตจริง ๆ
สำหรับผม หลัก “เข้า 1 ออก 1” ไม่ได้เป็นแค่กฎจัดบ้าน แต่เป็น วินัยการใช้ชีวิตแบบรวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ช่วยให้เราไม่สะสมเกินจำเป็น ไม่สิ้นเปลือง และใช้ชีวิตได้อย่างเบาสบายครับ
15.ใช้จนสุด/ซ่อม/รีฟิล/รีเซล
นี่คืออีกหนึ่งหลักคิดที่ผมใช้จริงในชีวิตประจำวัน และมันสอดคล้องกับปรัชญา Mottainai (もったいない) ของญี่ปุ่น ที่สอนให้เราเห็นคุณค่าและใช้ของให้คุ้มที่สุดก่อนทิ้ง
หลักการง่าย ๆ คือ ก่อนซื้อของใหม่ทุกครั้ง ให้ถามตัวเอง 4 ขั้นตอนนี้เสมอ
1.ใช้จนสุด – ใช้มันจนกว่าจะไม่สามารถใช้ต่อได้จริง ๆ |
2.ซ่อม – ถ้ามันเสีย เราสามารถซ่อมได้ไหม? คุ้มค่าที่จะซ่อมหรือเปล่า? |
3.รีฟิล – ของบางอย่างสามารถเติมใหม่ได้ เช่น ขวดน้ำสบู่ แทนที่จะซื้อใหม่ทุกครั้ง |
4.รีเซล – ถ้าถึงวันที่ไม่ใช้แล้ว มันสามารถขายต่อเป็นของมือสองได้ไหม? |
ผมลองใช้วิธีคิดนี้กับการซื้อของในชีวิตจริง เช่น ล่าสุดผมซื้อ กระบอกตวงน้ำจาก Nitori ขนาด 2 ลิตร ราคาเพียง 99 บาท (ช่วงเซลล์) สิ่งที่ผมพิจารณาคือ:
- คุณภาพคุ้มค่า ใช้ได้เกิน 2–3 ปี
- ใช้ทุกวัน ทำให้สุขภาพดีขึ้น ดื่มน้ำเพียงพอ (ช่วยลดค่ายารักษาโรคในอนาคต)
- ถึงวันที่ไม่ใช้แล้ว ก็ยังสามารถขายเป็นของมือสองได้ อย่างน้อย 20 บาท
จะเห็นว่า เมื่อเรามองครบทั้งวงจรตั้งแต่ ซื้อ – ใช้ – ซ่อม – รีฟิล – รีเซล ผลลัพธ์คือเราใช้ของได้คุ้มค่าที่สุด ลดการสูญเปล่า และประหยัดเงินในระยะยาว เงินที่เหลือก็นำไปต่อยอดในกองทุนอิสรภาพได้เร็วขึ้น
16.ซื้อคุณภาพ–ซ่อมได้–อะไหล่หาง่าย
สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการใช้ชีวิตจริง ๆ คือ การเลือกซื้อของ คุณภาพดี ซ่อมได้ และอะไหล่หาง่าย มักช่วยประหยัดเงินได้มากกว่าในระยะยาว หลายครั้งผมและครอบครัวเคยพลาดเพราะเห็นแก่ราคาถูก เช่น ซื้อของจากตลาดนัดหรือร้านออนไลน์ ราคาชิ้นละ 100–200 บาท แต่พอใช้งานจริงกลับพังเร็ว หรือใช้ไม่ได้เลย สุดท้ายต้องไปซื้อของคุณภาพจากห้างในราคา 400 บาทอยู่ดี
ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดซ้ำ ๆ ตลอดปี เงินที่รั่วออกไปจากการซื้อ “ของถูกแต่ใช้ไม่ได้” รวมกันอาจกลายเป็นหลายพันหรือหลายหมื่นบาทโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจริง ๆ แล้วเราอาจจะซื้อของคุณภาพแต่แรกก็จบ
ผมเริ่มปรับมุมมองว่า ทุกครั้งที่จะซื้ออะไร ผมจะถามตัวเอง 3 ข้อเสมอ
1.คุณภาพดีพอไหม? – ใช้ได้ยาว ไม่ใช่ของที่พังเร็ว |
2.ซ่อมได้หรือเปล่า? – ถ้าเสีย มีศูนย์หรือช่างที่ซ่อมได้ในราคาสมเหตุสมผล |
3.อะไหล่หาง่ายไหม? – ไม่ใช่สินค้าที่ถ้าเสียแล้วต้องทิ้งอย่างเดียว |
เมื่อคิดแบบนี้ ผมพบว่าการใช้จ่ายของผมมีสติมากขึ้น และรายจ่ายฟุ่มเฟือยจากการ “ซื้อซ้ำ” ลดลงเยอะ กลายเป็นเงินเหลือที่นำไปต่อยอดลงทุนแทน
17.ฐานเรียบ ง่าย ต่อเติมทีหลัง
หนึ่งในสิ่งที่ผมค้นพบจากการใช้ชีวิตแบบ Minimalism คือ หลักการ “ฐานเรียบ ง่าย ต่อเติมทีหลัง” โดยเฉพาะในเรื่องเสื้อผ้า เดิมทีผมชอบความมินิมอลแบบคลาสสิกที่ใช้สีขาว–ดำ แต่ด้วยความที่ภรรยาของผมไม่ชอบเสื้อผ้าสีดำ (ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นสีประจำของ minimalist) ผมจึงเลือกใช้ เสื้อผ้าสีขาวล้วน เป็นฐานแทน
ผลลัพธ์เกินคาดครับ…
ผมสามารถ Mix & Match เสื้อผ้าได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะใส่ไปทำงาน สอนนักเรียน พบลูกค้า หรือออกงานสังคมบางอย่าง
ผม ประหยัดเวลาเลือกชุดได้หลายสิบนาทีต่อวัน พอรวมกันก็กลายเป็นหลายชั่วโมงต่อเดือน เวลาที่เหลือผมเอาไปทำสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น สร้างรายได้ ทำกิจกรรมกับครอบครัว หรือปฏิบัติธรรม
การเลือกชุดที่เรียบง่ายยังช่วยให้ผม ใช้พลังสมอง (Decision Energy) น้อยลง เหลือสมาธิไปโฟกัสกับการทำงานหรือการคิดสร้างสรรค์แทน
การมี ฐานเสื้อผ้าเรียบง่าย ยังทำให้ผมสามารถ “ต่อเติม” ได้ภายหลังโดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งตู้ เช่น ถ้าจะเพิ่มสีสัน ผมแค่ใส่แจ็คเก็ต ผ้าพันคอ หรือเครื่องประดับเล็ก ๆ ก็ทำให้ดูแตกต่างแล้ว โดยที่ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่จำนวนมาก
นี่คือแนวคิดเดียวกับ Capsule Wardrobe ของญี่ปุ่น ที่เน้นการมีเสื้อผ้า “น้อยชิ้น แต่ใช้ได้หลายโอกาส”
สำหรับผม หลักคิดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่น แต่คือการลงทุนกับเวลาและพลังงานของชีวิต เมื่อเรามีตู้เสื้อผ้าที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริง เราจะมีเวลามากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และเงินก็ไม่รั่วไปกับการซื้อเสื้อผ้าเกินความจำเป็นอีกต่อไป — นี่แหละคือหนึ่งในวิธีที่ทำให้ผม รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้จริงครับ
18.Danshari เป็นโซน
หนึ่งในหลักการจัดการชีวิตที่ผมชอบที่สุดคือ Danshari (断捨離) ซึ่งหมายถึง “การคัด–แยก–ทิ้ง” ของที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อชีวิตที่มีความหมาย หลักคิดนี้ไม่ได้เน้นแค่การทิ้งของ แต่คือการ ปลดปล่อยพื้นที่และใจ จากสิ่งที่ไม่จำเป็น
ผมประยุกต์หลัก Danshari โดยการ แบ่งห้องออกเป็นโซน ๆ แล้วจัดการทีละส่วน เช่น วันหนึ่งโฟกัสโต๊ะทำงาน อีกวันโฟกัสตู้เสื้อผ้า หรือมุมครัว วิธีนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกหนักเกินไป และสามารถลงมือทำได้จริงต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่ผม “คัด–แยก–ทิ้ง” ของที่ไม่ได้ใช้ บ้านผมโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่ว่างรอบตัวทำให้ผม มีพื้นที่ความคิดมากขึ้น รู้สึกใจเบาขึ้น และสมาธิในการเขียนงานก็ดีขึ้นด้วย ผลคือผมทำงานเสร็จเร็วขึ้น และคุณภาพงานก็ดีขึ้นตามไปด้วย
สำหรับผม Danshari เป็นโซน ไม่ใช่แค่การจัดบ้าน แต่มันคือ การจัดระเบียบใจ ให้รู้ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น และเมื่อเราทำได้ต่อเนื่อง เราจะมีทั้งเวลา พลัง และเงินเหลือเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังครับ
19.Capsule Wardrobe
หากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คนเรามัก “สะสมเกินจำเป็น” จนกินทั้งเงินและพื้นที่ในชีวิตมากที่สุด ผมเชื่อว่าคือ ตู้เสื้อผ้า หลายครั้งเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเงินก้อนใหญ่ไหลไปกับเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่จริง ดังนั้น หนึ่งในวิธี รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ผมใช้คือการทำ Capsule Wardrobe หรือ “ตู้เสื้อผ้าแบบมินิมอล”
หลักการของ Capsule Wardrobe คือการ จำกัดจำนวนเสื้อผ้าให้เหลือเฉพาะที่ใช้จริง ไม่เกิน 20–30 ชิ้น และอยู่ในโทนสีหลักเพียง 2–3 สี เพื่อให้สามารถ Mix & Match ได้ง่าย โดยไม่ต้องมีเสื้อผ้าจำนวนมาก (อ้างอิง: The good trade, Capsule wardrobe Guide)
ผมเองใช้วิธี คัดแยก + ตารางกำกับ ว่าเสื้อผ้าชิ้นไหนอยู่ในกลุ่ม “ใช่แน่ ๆ” “รอดูก่อน” และ “ขาย/บริจาค” วิธีนี้ช่วยให้ผมจัดการตู้เสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น และเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนหรือปล่อยของ ผมก็ตัดสินใจได้เร็ว ไม่เสียเวลาลังเล
สิ่งที่ผมได้จาก Capsule Wardrobe คือ…
ความมั่นใจทุกครั้งที่แต่งตัว เพราะชุดที่เหลือคือชุดที่ผมชอบและเหมาะกับผมจริง ๆ |
ประหยัดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาคิดนานตอนเลือกชุดในแต่ละวัน |
ประหยัดเงิน เพราะผมไม่เผลอซื้อเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้ |
พื้นที่ในบ้านโล่งขึ้น ไม่ต้องมีตู้เสื้อผ้าหลายตู้หรือเสื้อผ้าที่กองทับกัน |
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ตอกย้ำว่า การ “ลด” บางอย่างออกไป ไม่ได้ทำให้เราขาด แต่กลับทำให้เรา เหลือแต่สิ่งที่มีคุณค่า และนั่นคือเส้นทางของการ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น อย่างแท้จริงครับ
20.ครัวแบบ Ichiju-Sansai (1 ซุป 3 อย่าง)
คำว่า “Ichiju-Sansai” (一汁三菜) คือหลักการจัดอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมายาวนานหลายร้อยปี แปลตรงตัวว่า “หนึ่งซุป สามกับข้าว” เป็นรากฐานของอาหารญี่ปุ่นที่ทั้งสมดุล เรียบง่าย และพอเพียง
ดังนั้น Ichiju-Sansai = 1 ซุป + 3 กับข้าว + ข้าวสวย
ถือเป็นสูตรอาหารประจำวันที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ยังคงความเรียบง่ายและเป็นระเบียบ
โดยโครงสร้างหลักของอาหารแต่ละมื้อคือ หนึ่งข้าว ซึ่งถือเป็นคาร์บหลัก สองซุป มักเป็นซุปมิโซะหรือผัก สามกับข้าวหลัก โดยมากมักเป็นปลา เต้าหู้หรือเนื้อสัตว์ สี่คือกับข้าวรอง 1 ได้แก่ผักหรือสลัดผักเล็กๆ และสุดท้ายคือกับข้าวรองสอง ได้แก่ผักดองหรือเครื่องเคียง
แนวคิดนี้คือผมให้ความสำคัญกับการกินทุกมื้อ โดยใช้หลักสมดุล ค คือทุกมื้อผมต้องได้สารอาหารครบถ้วน ใช้วัตถุดิบคุณภาพสดดี ปราศจากวัตถุกันเสีย และผงชูรส โดยมีความหลากหลายแต่ไม่ฟุ้มเฟือย ผมเลือกใช้ทุกอย่างในปริมาณที่พอดี และสุดท้ายจัดจานอาหารที่สวยงาม เพื่อเคารพต่อคนกิน (ตัวผมเองและครอบครัว)
การให้ความสำคัญกับอาหารถือเป็นหนึ่งใน 6 เสาหลักของ medicine 3.0 ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อ life span และ health span ของเรา และส่งผลต่อคุณภาพชัวิตและการใช้ชีวิตเมื่อมีอิสรภาพทางการเงินด้วย ดังนั้นถืเป้นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างยิ่งครับ
21.สร้างวันบำรุงรักษาบ้าน
บ้านและรถยนต์คือทรัพย์สินหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตเรา หากดูแลไม่ดี มันอาจกลายเป็นภาระ แต่ถ้าดูแลอย่างสม่ำเสมอ มันจะกลายเป็น “ทรัพย์สินเสริมความสุข” ได้ทันที คนญี่ปุ่นจำนวนมากให้ความสำคัญกับการ บำรุงรักษา (Maintenance) เพราะเชื่อว่า การดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องช่วยยืดอายุการใช้งาน และลดค่าใช้จ่ายใหญ่ในอนาคต
ผมเองจึงเลือก 1 วันต่อเดือน เป็น “วันบำรุงรักษาบ้าน” โดยยึดวันที่ 30 หรือ 31 ของทุกเดือน วิธีนี้ทำให้ผมไม่ลืมและกลายเป็นวินัยเล็ก ๆ ที่ต่อเนื่อง สิ่งที่ผมทำ เช่น
นัดช่างมาตัดหญ้าและดูแลต้นไม้
สูบลมยางรถยนต์ ล้างรถ และตรวจเช็กน้ำมันเครื่อง
เคลียร์ของที่กองสะสมรอบบ้าน เช่น กล่อง กระถาง หรือเศษไม้ที่ไม่ได้ใช้
ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ประปา และทำความสะอาดแอร์ รวมถึงเปลี่ยนไส้กรอง
ผมสังเกตได้ว่า เมื่อบ้านสะอาดและเป็นระเบียบ สมองของผมโล่งขึ้นมาก ไม่ต้องเสียพลังไปกับสิ่งรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว อีกทั้งยัง ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าซ่อมแซมใหญ่ ๆ ที่เกิดจากการละเลยการดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ
สำหรับผม การสร้าง “วันบำรุงรักษาบ้าน” ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นการลงทุนเงียบ ๆ ที่ช่วยให้บ้านน่าอยู่ รถปลอดภัย และตัวผมเองก็มีสมาธิไปโฟกัสกับการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
22.“ห้องว่างเพื่อคิด”
หนึ่งในแนวคิดที่ผมค้นพบจากญี่ปุ่นและลองใช้จริง คือ การสร้างห้องว่างเพื่อคิด หรือพื้นที่ที่ไม่ต้องเต็มไปด้วยสิ่งของหรือกิจกรรมใด ๆ เลย ห้องว่างในที่นี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงห้องใหญ่ แต่คือ การเว้นพื้นที่ว่างที่ปลอดจากสิ่งรบกวน เพื่อให้ใจเราได้พัก และสมองได้คิดอย่างอิสระ
ปรัชญาญี่ปุ่นเรียกว่า “Ma (間)” ซึ่งคือ “ช่องว่าง” หรือ “พื้นที่ระหว่างสิ่งต่าง ๆ” และยังโยงกับ Wabi-Sabi ที่มองเห็นความงามในความเรียบง่าย ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่เปิดพื้นที่ให้สิ่งสำคัญปรากฏขึ้นมาเอง
ผมเองลองจัด ห้องเล็ก ๆ ในบ้านให้ว่างที่สุด ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากมาย นอกจากเก้าอี้ โต๊ะเตี้ย และโคมไฟดวงเดียว เวลาผมเข้าไปอยู่ในห้องนี้ ผมจะปิดมือถือ ไม่เปิดทีวี แต่ปล่อยให้ตัวเองได้ “นั่งคิด” หรือ “เขียนบันทึก” เงียบ ๆ
สิ่งที่ได้คือ…
สมาธิและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น
รู้สึก ใจสงบ เหมือนรีเซ็ตพลังใหม่
ได้เวลา “ทบทวนทิศทางชีวิต” ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ
ห้องว่างนี้อาจจะไม่ได้สร้างรายได้ตรง ๆ แต่กลับเป็น “ห้องลงทุนทางความคิด” ที่ทำให้ผมคิดไอเดียใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งบางครั้งก็นำไปต่อยอดเป็นรายได้จริง หรือช่วยลดความผิดพลาดทางการเงินได้มาก
23.แผนที่ Ikigai ส่วนตัว
Ikigai (生き甲斐) คือคำภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึง “เหตุผลที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาในทุกเช้า” เป็นกรอบคิดที่บอกเราว่า ชีวิตจะมีความหมายเมื่อเราพบสิ่งที่ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบคือ
1.สิ่งที่เรารัก (What you love) |
2.สิ่งที่เราชำนาญ (What you are good at) |
3.สิ่งที่โลกต้องการ (What the world needs) |
4.สิ่งที่สร้างรายได้ (What you can be paid for) |
เมื่อทั้ง 4 วงมาบรรจบกัน นั่นคือ Ikigai ของเรา
ผมเชื่อว่าถ้าใครอยาก รวยเงียบแบบญี่ปุ่น จำเป็นต้องหา Ikigai ของตัวเอง ให้เจอ เพราะมันคือพลังที่จะผลักดันให้คุณทำสิ่งต่าง ๆ ได้ต่อเนื่องโดยไม่หมดแรง และยังต่อยอดเป็นรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว
สำหรับผมเอง ผมถึงกับไปลงเรียนวิชา Ikigai อย่างจริงจัง เพื่อค้นหา “งานที่มีความหมาย” และวันนี้ผมเจอแล้ว มันทำให้ผมมั่นใจในเส้นทางที่เลือก รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือ มันทำให้ผมไม่จำเป็นต้องอวดใคร แต่สามารถสร้างคุณค่าและรายได้อย่างเงียบ ๆ
บางคนอาจพบ Ikigai ของตัวเองจากการ สอนสิ่งที่รัก บางคนอาจพบจากการ สร้างสิ่งที่โลกต้องการ แล้วแบ่งปันมันออกไป ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องลงมือค้นหา
และเมื่อคุณเจอ Ikigai ของคุณแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปครับ
24.Shokunin Time Block (Deep Work)
เมื่อเราเจองานที่มีความหมาย ตามหลัก ikigai แล้ว จงใช้หลัก Shokunin ด้วยการสร้าง Time blocking เพื่อโฟกัสการทำงานนั้นโดยปราศจากสิ่งแจ้งเตือน หรือรบกวน
ผมเองเมื่อถึงชั่วโมงการสร้างสิ่งที่ผมรัก ซึ่งเรียกว่า Funnel Business ผมจะทุ่มเทกับการทำงานแบบ single tasking รอบละ 2 ชั่วโมงจากนั้นพัก 15 นาที และทำต่ออีก 2 ชั่วโมง และพัก 15 นาที และปิดท้ายอีก 2 ชั่วโมง ก่อนจะพักยาว รวมคร่าวๆแล้วผใมจะทำงานวันละ 6 ชั่วโมง
แม้ว่าำนวนชั่วโมงของผมอาจดูไม่เยอะมาก เหมือนกับเหล่ากูรูหลาย ๆ คน แต่ผมก็ใช้หลัก Shokunin เพื่อให้ช่วงเวลา 6 ชั่วโมงนั้นมีค่ามากที่สุด และเทียบเท่าการทำงานระดับ 8-10 ชั่วโมงครับ
ซึ่งผลจากการทดสอบของผมพบว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานแบบ deep work นี้ ให้ผลงานที่มีคุณภาพเพียงพอกับที่ผมทุ่มเทไปอย่างน่าพึงพอใจมากครับ
25.Small Bets Portfolio
หลักการทำ Small Bets Portfolio คือการเพิ่มช่องทางความชำนาญที่สามารถแตกออกจากงานเดิมอีก 2-3 ช่อง เพื่อทดลองทำไปด้วยระหว่างที่เราโฟกัสงานหลัก ตัวอย่างเช่นผมเอง นอกจากการทำ Funnel business แล้ว ผมยังแบ่งเวลารายวัน 2 ชั่วโมงเพื่อทำงาน Airdrop hunter ไปด้วย
แม้ว่ารายได้ของ airdrop hunter อาจจะไม่มากเท่ากับงาน Funnel business แต่มันก็เป็นโอกาสของผมในการเพิ่มช่องทางรายได้ และประกันความเสี่ยงจากงานแรก
นอกจากนี้ผมยังแบ่งเงินทุนที่ใช้ลงทุน 50% ไว้กับ Crypto ที่ผมมั่นใจ 1-2 ตัว ซึ่งอาจเป็น Leverage ให้กับพอร์ตการลงทุนของผมในอนาคต แต่ผมจะไม่โฟกัสเป็นตัวหลักครับ เพราะถ้าโฟกัสก้จะทำให้เราหลุดจากเส้นทางได้
26.Lean Ops, Low Overhead
หนึ่งในเคล็ดลับที่ผมเห็นจากคนญี่ปุ่นที่ รวยเงียบ ก็คือ เขาจะเน้นการทำงานแบบ Lean Ops (Lean Operation) และรักษารายจ่ายคงที่ให้ Low Overhead อยู่เสมอ กล่าวคือ ไม่สร้างต้นทุนที่ไม่จำเป็น ไม่ผูกพันกับสัญญาระยะยาวราคาแพง แต่เลือกใช้เครื่องมือหรือระบบที่ “เล็ก กระชับ แต่ได้ผล”
ผมเองก็ใช้หลักคิดนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
ซื้อเทมเพลตคุณภาพครั้งเดียว แต่สามารถใช้งานซ้ำได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน งานออกแบบ หรืองานสอน ทำให้ประหยัดเวลาและไม่ต้องจ่ายซ้ำซ้อน
เลือกใช้ ซอฟต์แวร์หรือบริการที่เป็นแบบ one-time payment หรือราคาประหยัด แต่มีความยืดหยุ่นสูง แทนที่จะสมัครแพง ๆ รายเดือนหลายตัวจนเกินจำเป็น
เวลามีงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ผมจะถามเสมอว่า “มีเครื่องมืออะไรที่ช่วยลดเวลาและลดค่าใช้จ่ายได้ไหม?” ถ้ามีก็ลงทุนซื้อครั้งเดียวจบ เพื่อประหยัดทั้งเวลาและเงินในระยะยาว
สิ่งที่ผมได้จาก Lean Ops, Low Overhead คือ…
รายจ่ายคงที่ต่ำ → ลดความเสี่ยงเมื่อรายได้ผันผวน |
ประหยัดเวลา → เพราะไม่ต้องเสียไปกับงานซ้ำซ้อนที่เครื่องมือทำแทนได้ |
ใช้เงินลงทุนคุ้มค่า → ของที่ซื้อมา “คืนทุน” ได้หลายรอบและยังใช้ต่อไปได้เรื่อย ๆ |
แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญาญี่ปุ่นอย่าง Kaizen (ปรับเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง) และ Mottainai (ใช้ของให้คุ้มค่า) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว จะทำให้เราสามารถสร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ต้นทุนต่ำ
27.Reputation > Revenue
อีกหนึ่งวิธี รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ผมยึดถือมาตลอดคือ ชื่อเสียงสำคัญกว่ารายได้ และสิ่งที่ต้องห้ามอย่างยิ่งคือ การอวดรวย ไม่ว่าจะด้วยการถ่ายรูปคู่กับรถหรู ของแพง หรือทริปท่องเที่ยวสุดหรูลงโซเชียล เพราะทุกครั้งที่ทำแบบนั้น มันคือการเปิดชีวิตส่วนตัวให้ผู้อื่นตีความและตั้งความคาดหวังกับเรา
ญี่ปุ่นมีแนวคิด Honne vs Tatemae คือ Honne = ความจริงในใจ และ Tatemae = ภาพที่แสดงต่อสังคม คนญี่ปุ่นมักเลือกเก็บ Honne ไว้เงียบ ๆ และแสดง Tatemae ที่เหมาะสมต่อสังคม เพราะพวกเขาให้คุณค่ากับ ความกลมกลืน (wa 和) มากกว่าการอวดเด่น
ผมเองก็เคยทำผิดพลาดเรื่องนี้ครับ ช่วงที่มีรายได้ดี ผมเคยโพสต์รูปโชว์การเที่ยวต่างประเทศหรือของราคาแพง แต่พอมองย้อนกลับไป ผมพบว่าแทนที่จะได้ประโยชน์ มันกลับสร้าง “ความคาดหวัง” ให้คนรอบตัวว่า ผมจะต้องเลี้ยงดู หรือพร้อมให้ยืมเงินได้เสมอ ซึ่งไม่จริงเลย และถ้าถึงวันที่การเงินสะดุด มันก็กลายเป็นแรงกดดันที่ไม่จำเป็น
ปัจจุบันผมเลือกที่จะ ลบโพสต์โชว์รวยเก่า ๆ และตั้งค่า “เห็นเฉพาะฉัน” เพื่อปิดบังแทน และเปลี่ยนจากการโชว์ “ของ” มาเป็นการโชว์ “ผลงาน” และ “ทักษะ” เช่น บทความที่เขียน, ความรู้ที่สอน, หรือกรณีศึกษาที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่นได้
สิ่งที่ผมเห็นชัดคือ ยิ่งผมโชว์เคสเหล่านี้บนโซเชียลมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งเห็นคุณค่าในตัวผมมากขึ้น และรายได้ก็ไหลเข้ามามากขึ้นตามไปด้วย เพราะชื่อเสียงสร้างรายได้อย่างยั่งยืนได้จริง โดยไม่ต้องอวดอะไรเลย
สำหรับผม Reputation > Revenue ไม่ใช่แค่คำคม แต่เป็นกฎเหล็กของการ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ใช้ได้จริงครับ
28.Digital Declutter รายไตรมาส
การทำ digital declutter คืออีกหนึ่งกิจกรรมรวยเงียบตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น โดยในแต่ละไตรมาสเขาจะเลือกพิจารณาเก็บเฉพาะแอฟที่สามารถสร้างประโยชน์ในระยะยาวได้ และเกี่ยวข้องกับการสร้าง intentional living อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังรวมถึงไฟล์ต่างๆ และรูปที่มีการใช้งานจริงอีกด้วย
ผมเองชอบการทำ digital declutter เสมอ ๆ และทำบ่อยมากกว่าเดือนละครั้ง โดยจะลยแอพที่ไม่ได้ใช้งานแน่นอนออกไปเลย จากนั้นจัดหมวดหมู่แอพต่าง ๆ เช่น การทำงาน, การเงิน, ท่องเที่ยว ยิ่งผมมีแอพน้อยเท่าไหร่ ผมก็จะใช้ประโยชน์จากมันง่ายและเร็วขึ้น สมองเป้นระเบียบมกขึ้น และทำให้ผมเห็นโอกาสการหาเงินมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ผมยังลบรูปภาพที่ถ่าย หรือระบบ capture ไว้โดยเฉพาะพวกใบเสร็จออนไลน์จากธนาคารโดยทุกเดือนผมจะย้ายรูปภาพสำคัญหรือไฟล์สำคัญไปเก็บไว้ใน google drive และเคลียร์ให้โฟลเดอร์รูปภาพ และวีดิโอโล่ง พร้อมที่จะรับภาพใหม่ๆในเดือนถัดไปเสมอ ๆ
29.Notification Diet
หนึ่งในสิ่งที่รวบกวนสมาธิการหาเงินมากที่สุดของผมคือ เสียงเตือนทั้งหลาย โดยเฉพาะเสียงเตือนจาก app บนมือถือ ดังนั้นเพื่อลดเสียงที่รบกวนสมาธิการหาเงิน ผมตั้งค่า Notification เป็น off ทั้งหมด ยกเว้นแค่เบอร์โทรคนสำคัญเท่านั้น
นอกนั้นผมตั้งเป็น off ผลที่ได้รับคือ ไม่มีเสียงเตือนใด ๆ ดังออกมากวนใจผมเลยแม้แต่เสียงเดียวตลอดเวลาที่ผมกำลังสร้างสรรค์ผลงาน และมันทำให้งานของผมออกมาดีมากขึ้น มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดทำให้ผมได้เงินแบบ passive income มากขึ้นด้วย
การตั้ง Notification เป็น off ทั้งหมด ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคลับของ การรวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่คุณน่าเอามาใช้งานเป็นอย่างยิ่งครับ
30.Privacy Hygiene
ต่อให้เราหาเงินได้เก่งแค่ไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเงินที่สะสมมาต้องหายไปในพริบตาเพราะการถูกแฮ็ก หรือความสะเพร่าด้านความปลอดภัย ขุมทรัพย์ที่สร้างมาก็อาจสูญสลายทันที และที่สำคัญคือมันทำให้ เสียกำลังใจอย่างมหาศาล เพราะต้องเริ่มต้นสร้างใหม่จากศูนย์
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนที่ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ถึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า Privacy Hygiene หรือ “สุขอนามัยด้านความเป็นส่วนตัว” พูดง่าย ๆ คือ การดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางดิจิทัลอย่างมีวินัย
สิ่งที่ผมทำเป็นประจำ เช่น
ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรง (ยาวพอ มีทั้งตัวเลข ตัวอักษรพิมพ์เล็ก–ใหญ่ และสัญลักษณ์) |
ไม่ใช้รหัสซ้ำกันหลายบัญชี โดยเฉพาะบัญชีธนาคารออนไลน์ และกระเป๋าคริปโต |
ใช้ 2FA (Two-Factor Authentication) ทุกครั้งที่ทำได้ |
จัดเก็บรหัสผ่านใน Password Manager หรือเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ไม่จดในกระดาษที่ใครก็เข้าถึงได้ |
มองหาวิธี เก็บข้อมูลสำคัญแบบออฟไลน์ เช่น seed phrase ของกระเป๋าคริปโต ควรเก็บไว้ในที่ลับ ปลอดภัย และไม่แชร์กับใคร |
เมื่อทำแบบนี้ ผมสบายใจมากขึ้นว่า ทรัพย์สินที่ผมสร้างมาจะไม่หายไปเพราะความประมาทเล็ก ๆ น้อย ๆ และยังมั่นใจว่าเส้นทางการเงินของผมมั่นคงจริงในระยะยาว
สำหรับผม Privacy Hygiene ไม่ใช่เรื่องเทคนิคคอมพิวเตอร์ แต่เป็นเรื่องของ วินัยและการปกป้องอนาคต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้เรา รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้อย่างปลอดภัยครับ
31.Calm Phone Setup
มือถือของเราอาจเป็นทั้ง “เครื่องมือทำเงิน” และ “ตัวดูดเวลา” ไปพร้อมกัน ดังนั้นถ้าอยาก รวยเงียบแบบญี่ปุ่น เราต้องทำให้มือถือเป็นผู้ช่วย ไม่ใช่นายเหนือชีวิต
สิ่งที่ผมทำคือการสร้าง Calm Phone Setup ให้ iPhone ของผมเรียบง่ายที่สุด เริ่มจาก ลดหน้าจอให้เหลือแค่หน้าเดียว ทุกแอปที่จำเป็นจัดไว้ในโฟลเดอร์อย่างเป็นระเบียบ แอปที่ซ้ำหรือไม่ได้ใช้งาน ผมลบทิ้งออกจาก Home Screen ทันที วิธีนี้ทำให้ผมเปิดมือถือแล้วไม่เจอความรกที่คอยดึงสมาธิ
ผมยังเปิดใช้ โหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) ตลอดทั้งวัน ยกเว้นสายจากคนในครอบครัวที่ผมตั้งค่าไว้เป็น “เบอร์พิเศษ” เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ผมจะไม่ให้การแจ้งเตือนเข้ามารบกวนเลย และผมกำหนดวินัยให้ตัวเอง เริ่มจับมือถือจริง ๆ เวลา 09.00 น. ของทุกวัน ซึ่งช่วยให้ช่วงเช้าเป็นเวลาทองของผมสำหรับการทำงานลึก (Deep Work) และกิจกรรมที่สำคัญจริง ๆ
พอทำแบบนี้ ผมรู้สึกได้ชัดว่า ผมเป็นเจ้านายของมือถือ ไม่ใช่มือถือเป็นเจ้านายผม เวลาที่ได้คืนมาคือกำไรชีวิตอย่างแท้จริง และนี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือเงียบ ๆ ที่ช่วยให้ผมโฟกัสและเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้มั่นคงยิ่งขึ้นครับ
32.Routines เช้า-ค่ำ
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากญี่ปุ่นคือ สุขภาพคือฐานของทุกอย่าง ต่อให้เรามีเงินมากแค่ไหน ถ้าสุขภาพไม่ดี เงินก็ไม่สามารถซื้อความสุขและคุณภาพชีวิตที่แท้จริงได้เลย ดังนั้น “กิจวัตรเช้า–ค่ำ” จึงกลายเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่สำคัญที่สุด เพราะมันคือเสาหลักในการดูแลทั้งกายและใจในทุก ๆ วัน
ตอนเช้า หลังตื่นนอน ผมจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำหนึ่งแก้วเพื่อกระตุ้นระบบภายใน ตามด้วยการยืดเหยียดร่างกายเล็กน้อย จากนั้นนั่งลงเพื่อ จดเป้าหมายสำคัญประจำวัน (เพียง 1–3 ข้อเท่านั้น) เพื่อเตือนตัวเองว่าวันนี้ควรใช้เวลาไปกับสิ่งใดจริง ๆ
ตอนค่ำ ก่อนเข้านอน ผมจะย้อนกลับมาสรุปผลว่าทำตามเป้าหมายได้แค่ไหน เขียนบันทึกสั้น ๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้า หรือสิ่งที่อยากปรับปรุง แล้วปิดท้ายด้วยการอ่านหนังสือเบา ๆ เพื่อให้ใจค่อย ๆ สงบลงและพร้อมเข้าสู่การนอนหลับลึก
การสร้าง Routine เช้า–ค่ำ จึงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ แต่เป็น “พิธีกรรมเล็ก ๆ” ที่เรามอบให้ตัวเองทุกวัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และเป้าหมายชีวิต
สำหรับผม นี่คือเคล็ดลับเงียบ ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตมั่นคงทั้งสุขภาพและงาน และเป็นอีกหนึ่งเส้นทางของการ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ที่ผมอยากแนะนำให้คุณลองครับ
33.เดินให้เยอะ + Zone 2 อย่างปลอดภัย
ถ้าคุณกลับจากการเที่ยวญี่ปุ่นมา คุณจะเห็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นที่ส่งผลดีอย่างยิ่งต่อสุขภาพของพวกเขานั่นคือ การเดิน คนญี่ปุ่นถือเป็นชาติที่เดินเยอะมาก ๆ โดยเฉลี่ยแล้วมีตัวเลขระบุว่า คนญี่ปุ่นใช้เวลาไปกับการเดินเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 2 กิโลเมตรขึ้นไป หรือเทียบเท่ากับการเดินในระดับ 10,000 ก้าวเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เองเราจึงพบว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้น ไม่ค่อยอ้วน และมีหุ่นรูปร่างที่ดีผอมเพรียวบางและสุขภาพดี
เราสามารถประยุกต์เอาวัฒนธรรมนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างผมเองนั้น เมื่อจะต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเดินทาง เช่นจอดรถยนต์ ผมก็จะเลือกจอดรถยนต์ในคตำแหน่งที่ไกลขึ้นเพื่อให้ตนเองไ้ดเดินมากขึ้น หรือเลือกที่จะใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟท์ รวมทั้งการเดินหรือขี่จักรยานไปซื้ออาหารกลางวันแทนการขับรถยนต์ไป
วิธีการง่ายๆนี้ช่วยให้ผมมีสุขภาพดีขึ้น มีร่างกายที่ฟิตมากขึ้น ซึ่งถือเป้นการลงทุนด้านสุขภาพที่ถูกมาก ๆ และคุ้มค่ามากที่สุดครับ
34.นอนให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
การนอนหลับให้ครบ 8 ชั่วโมงต่อคืน อาจฟังดูเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่จริง ๆ แล้วนี่คือ รากฐานของสุขภาพและคุณภาพชีวิตทั้งหมด เพราะช่วงเวลาที่เราหลับสนิทคือช่วงที่ร่างกายทำงานเงียบ ๆ เพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟู และปรับสมดุลใหม่
ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลของฮอร์โมน รวมถึงระดับน้ำตาลในเลือด
สมองจัดเก็บความทรงจำ เคลียร์ของเสียทางระบบประสาท และเตรียมพร้อมสำหรับการคิดสร้างสรรค์ในวันถัดไป
งานวิจัยยืนยันว่า การนอนพอช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และประสิทธิภาพการทำงานได้จริง
การนอนให้เต็มอิ่มยังช่วย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ได้อย่างมีนัยสำคัญ และคนที่นอนครบ 7–8 ชั่วโมงสม่ำเสมอมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนที่นอนน้อยเป็นประจำ
สำหรับผม การนอน 8 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือ การลงทุนเงียบ ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในชีวิต เพราะเมื่อสุขภาพแข็งแรง ผมก็มีพลังสมองและพลังใจไปสร้างสรรค์สิ่งสำคัญต่อได้เต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินรักษาโรคโดยไม่จำเป็น และนี่คืออีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เพื่อเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ครับ
35.น้ำตาลต่ำ-อาหารบ้าน
หนึ่งในวิธี “รวยเงียบ” ที่ผมทำแล้วได้ผลมากคือ ลดน้ำตาล และหันมากินอาหารที่ทำเองในบ้าน เพราะน้ำตาลเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้สุขภาพพังแบบเงียบ ๆ ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน และยังทำให้เราเสียเงินกับค่ารักษาในอนาคตโดยไม่รู้ตัว
การทำอาหารเองที่บ้าน ช่วยให้ผม คุมปริมาณน้ำตาล เกลือ และไขมัน ได้เต็มที่ เลือกวัตถุดิบสดใหม่ และที่สำคัญคือ ประหยัดกว่าซื้อกินนอกบ้านหลายเท่า แถมยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้สติ (mindful eating) รู้ว่าตัวเองกินอะไรเข้าไปจริง ๆ
สิ่งที่ผมเอามาใช้จริงได้แก่ ผมไม่อื่มเครื่องดื่มรสหวานทุกประเภท (ผมเป็นเบาหวาน และตระหนักแล้วว่าน้ำตาลคือยาพิษ) ผมดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว และบางครั้งผมดื่มชาสมุนไพรบ้าง และแน่นอนว่าต้องไม่ใส่น้ำตาลเลย
ผมเลือกทำอาหารด้วยเมนูง่าย ๆ ที่ทำจากโปรตีนถั่ว เต้าหู้ ไข่และปลา โดยใช้พืชผักตามฤดูกลาล อีกทั้งผมยังเตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าสองมื้อ เพื่อให้ผมไม่ต้องทำอาหารในตอนกลางวัน ช่วยให้มีเวลาหาเงินมากขึ้นครับ
36. ป้องกันก่อนรักษา
สำหรับผม สุขภาพคือ สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด ของการใช้ชีวิตแบบ รวยเงียบ ต่อให้เรามีเงินเก็บหรือทรัพย์สินมากแค่ไหน แต่หากต้องใช้มันไปกับค่ารักษาพยาบาล เงินก้อนนั้นก็อาจหายไปในพริบตา
ดังนั้นหลักคิดที่ผมยึดถือเสมอคือ “ป้องกันก่อนรักษา” นั่นหมายถึงการดูแลสุขภาพเชิงรุกตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่รอให้ป่วยแล้วค่อยมาหาทางแก้ทีหลัง
สิ่งที่ผมทำในชีวิตประจำวัน เช่น…
โภชนาการ: เลือกกินอาหารบ้าน ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ และอาหารแปรรูป |
การออกกำลังกาย: เดิน วิ่งเบา ๆ หรือยืดเหยียดอย่างน้อยวันละ 20–30 นาที |
การพักผ่อน: พยายามนอนให้ครบ 7–8 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ |
การตรวจสุขภาพ: เลือกตรวจตามความเสี่ยง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด หรือโรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคที่เงียบแต่ร้ายแรง |
สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็ก ๆ แต่เมื่อทำสม่ำเสมอ มันคือการ ลงทุนในสุขภาพ ที่ได้ผลตอบแทนมหาศาล ทั้งลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน
สำหรับผม การป้องกันก่อนรักษา ไม่ใช่เพียงคำแนะนำทางการแพทย์ แต่มันคือหนึ่งใน “เคล็ดลับการเงินเงียบ ๆ” เพราะสุขภาพที่ดีคือเกราะป้องกันไม่ให้เราต้องเสียเงินก้อนโตโดยไม่จำเป็น และทำให้เราเดินบนเส้นทาง รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนครับ
37.Family Fund & Giving Envelope
การมี “กองทุนครอบครัว” (Family Fund) คือการกันเงินไว้เป็นพิเศษสำหรับพ่อแม่ คู่ชีวิต ลูก หรือคนใกล้ตัว โดยไม่ปะปนกับงบใช้จ่ายประจำวัน จุดประสงค์คือเพื่อสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว เช่น ค่าเรียนลูก ค่ารักษาพ่อแม่ หรือกองทุนฉุกเฉินสำหรับคนในบ้าน ขณะเดียวกัน ผมทำ “ซองการให้” (Giving Envelope) ควบคู่กันไว้สำหรับการช่วยเหลือสังคม การทำบุญ หรือการสนับสนุนกิจกรรมที่มีคุณค่า
สองกองนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่าง การดูแลคนที่เรารัก และ การส่งต่อคุณค่าออกไปข้างนอก ทำให้เงินที่เราใช้ไม่ใช่แค่การใช้เพื่อตัวเอง แต่กลายเป็น “การลงทุนในความสัมพันธ์และความหมาย” ที่ยั่งยืนกว่าเงินทองใด ๆ
ผมเลือกหักอัตโนมัติทุกเดือนเข้ากองทุนทั้งสองนี้ แม้จำนวนไม่มาก แต่ช่วยให้มั่นใจว่าครอบครัวไม่สะดุด และหัวใจเราได้อิ่มจากการให้เสมอครับ
38.Reciprocity Network
Reciprocity Network หรือ “เครือข่ายการแลกเปลี่ยน” คือการสร้างวงจรความสัมพันธ์ที่ทุกคนได้ทั้งให้และรับอย่างสมดุล ไม่ได้วัดกันด้วยเงินอย่างเดียว แต่ใช้ทักษะ เวลา และทรัพยากรเล็ก ๆ ที่เรามีมาแบ่งปันกัน ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การแลกหนังสือ การยืม–ให้ยืมเครื่องมือ การสอนความรู้เฉพาะทางให้เพื่อน แลกกับความช่วยเหลือในสิ่งที่เราไม่ถนัด
สิ่งนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน เพราะเราไม่จำเป็นต้อง “ซื้อใหม่ทุกอย่าง” แต่ใช้พลังของชุมชนและความไว้ใจแทน นอกจากนี้ยังสร้างสายสัมพันธ์ระยะยาว ทำให้เรามีคนคอยช่วยเหลือในยามจำเป็น และเราก็ได้เติมเต็มความหมายจากการเป็นผู้ให้ด้วย
ผมเองสร้างกลุ่มเล็ก ๆ กับเพื่อนและคนรู้จัก เช่น แลกเปลี่ยนหนังสือ เครื่องครัว และทักษะด้านเทคโนโลยี มันทำให้รู้สึกว่าทุกคนเติบโตไปด้วยกัน โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ได้ “ทุนทางสังคม” เพิ่มขึ้นมหาศาลครับ
39.Emergency Binder
Emergency Binder หรือ “แฟ้มฉุกเฉิน” คือการรวบรวมเอกสาร ข้อมูล และรหัสสำคัญทั้งหมดไว้ในที่เดียว เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วยกะทันหัน อุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินภายในครอบครัว ภายในแฟ้มควรมีเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน พินัยกรรม กรมธรรม์ ประวัติการรักษา รหัสผ่านหลัก รวมถึงคู่มือการเข้าถึงบัญชีธนาคารหรือทรัพย์สินดิจิทัล
การทำ Emergency Binder ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่คือการ “เตรียมตัวล่วงหน้า” เพื่อไม่ให้คนที่เรารักต้องลำบากเมื่อเราไม่อยู่ตรงนั้น การมีข้อมูลทุกอย่างชัดเจนและจัดระเบียบไว้แล้ว จะช่วยลดความตื่นตระหนก และทำให้การตัดสินใจในยามคับขันเป็นไปอย่างราบรื่น
ผมเองแยกเก็บ Emergency Binder เป็น 2 ชุด คือ ไฟล์กระดาษ เก็บในบ้าน และ ไฟล์ดิจิทัลเข้ารหัส เก็บใน Cloud เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมใช้งานได้ทุกสถานการณ์ครับ
40.Low-Profile Lifestyle
Low-Profile Lifestyle คือการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่โอ้อวด ไม่ดึงดูดความสนใจเกินจำเป็น จุดเน้นไม่ใช่การซ่อนตัว แต่คือการ อยู่เงียบ ๆ อย่างมีคุณค่า โดยเลือกใช้พลังงานไปกับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตจริง ๆ เช่น ครอบครัว งานที่มีความหมาย และสุขภาพ มากกว่าการแข่งขันหรือการเปรียบเทียบกับคนอื่นในสังคม
การใช้ชีวิตแนวนี้ช่วยลดแรงกดดันทางสังคม ไม่ต้องตามแฟชั่นหรือแสดงฐานะ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และที่สำคัญคือช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลส่วนตัวสามารถถูกนำไปใช้ผิดทางได้ง่าย
สำหรับผม “Low-Profile” แปลว่าการเลือกโพสต์บนโซเชียลเพื่อให้คุณค่า ไม่ใช่เพื่อโชว์คุณค่า ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างที่เรามี แต่เลือกแชร์สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแทนครับ
7-Day Kickstart (เริ่มวันนี้)
ถ้าคุณอยากเริ่มเส้นทาง “รวยเงียบแบบญี่ปุ่น” แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ผมทำแผน 7 วันแรก ไว้ให้คุณลองทำทีละก้าว ทุกอย่างเรียบง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ได้ผลลัพธ์จริง คุณสามารถปรับให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้เลย
วันที่ 1 Subscription Detox เปิดดูบิลรายเดือนทั้งหมด แล้วถามตัวเองว่า “ฉันใช้จริงไหม?” ยกเลิกทุกบริการที่ไม่ได้ใช้เกิน 2 สัปดาห์ เช่น สตรีมมิ่งที่เปิดทิ้งไว้ หรือแอปที่ไม่ได้เข้าเลย แค่วันนี้ก็ช่วยลดรายจ่ายทันที |
วันที่ 2 โต๊ะทำงานแบบ Danshari เลือกโซนเล็กที่สุดในบ้าน เช่น โต๊ะทำงาน แล้วใช้หลัก Danshari (ตัด–ทิ้ง–แยก) เคลียร์สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป คุณจะสัมผัสได้ถึง “พื้นที่ว่าง” ที่ช่วยให้โฟกัสงานและความคิดได้ดีขึ้น |
วันที่ 3 Capsule Wardrobe เปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเฉพาะ 30 ชิ้นที่ “ใส่จริง” และแมตช์ได้หลายโอกาส ส่วนที่เหลือแยกออกไปสำหรับขาย บริจาค หรือเก็บในกล่องชั่วคราว คุณจะประหยัดเวลาเลือกเสื้อผ้า และลดความอยากซื้อเพิ่มโดยไม่จำเป็น |
วันที่ 4 No-Buy List ส่วนตัว เขียนลิสต์สิ่งของ 10 อย่างที่คุณรู้ว่าตัวเอง “มักซื้อเกินความจำเป็น” เช่น กาแฟแก้วละร้อย แกดเจ็ตเล็ก ๆ หรือเสื้อยืดที่ซ้ำกันทุกสี ลิสต์นี้จะช่วยคุณหยุดใช้เงินกับสิ่งที่ไม่เพิ่มคุณค่า |
วันที่ 5 เมนู Ichiju-Sansai วางเมนูอาหารบ้านง่าย ๆ แบบ Ichiju-Sansai (1 ซุป 3 กับข้าว) สำหรับ 1 สัปดาห์ ใช้ผักตามฤดูกาล + โปรตีนที่หาได้ง่าย วิธีนี้ช่วยให้กินอิ่ม อร่อย สุขภาพดี และประหยัดค่าอาหารไปพร้อมกัน |
วันที่ 6 แผนที่ Ikigai ส่วนตัว หยิบกระดาษหนึ่งใบ แบ่งเป็น 4 วงกลม: สิ่งที่รัก, สิ่งที่เก่ง, สิ่งที่โลกต้องการ, สิ่งที่สร้างรายได้ เขียนลงไปอย่างจริงใจ นี่คือ Ikigai Map ฉบับของคุณเอง ช่วยให้ชีวิตชัดเจนขึ้นว่าอะไรคือแก่นที่ควรโฟกัส |
วันที่ 7 Emergency Binder รวบรวมเอกสารและข้อมูลสำคัญ เช่น บัตรประชาชน กรมธรรม์ รายชื่อบัญชีธนาคาร รหัสผ่านหลัก เก็บไว้ทั้งในแฟ้มจริงและไฟล์ดิจิทัลเข้ารหัส วิธีนี้จะทำให้คุณและครอบครัวปลอดภัยขึ้นทันที หากเกิดเหตุไม่คาดคิด |
เพียง 7 วัน คุณจะได้ทั้ง “พื้นที่ว่าง, เงินที่เหลือเก็บ, ความชัดเจนในชีวิต และระบบที่ปลอดภัยขึ้น” นี่คือก้าวแรกสู่การใช้ชีวิตแบบ รวยเงียบ (Quiet Wealth) ที่คุณทำได้เลยตั้งแต่วันนี้ครับ
เริ่มเลย ตาของคุณแล้วครับ!
เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงเห็นแล้วว่า การรวยเงียบแบบญี่ปุ่น ไม่ได้ซับซ้อนเกินเอื้อม ไม่จำเป็นต้องอวด ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตหรูหรา แต่คือการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ ในทุกวัน ทั้งการเงิน สุขภาพ บ้าน และจิตใจ ทุกข้อที่ผมเล่า ล้วนผ่านการทดลองใช้จริงในชีวิตของผมเอง และผมเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนทั้งเงินในกระเป๋า และความสุขในใจไปพร้อมกัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณไม่จำเป็นต้องทำครบทุกข้อในทันที แต่เพียงเริ่มต้น เลือกสัก 2–3 วิธีที่คุณทำได้วันนี้ แล้วค่อย ๆ ขยับไปทีละก้าว คุณจะเริ่มเห็นเงินเหลือ คุณภาพชีวิตดีขึ้น และจิตใจที่สงบกว่าเดิม
อย่าลืมว่า การรวยเงียบคือ “เส้นทางระยะยาว” ที่เราเดินทุกวัน และผลลัพธ์จะค่อย ๆ เผยออกมาอย่างมั่นคง
ถ้าคุณอยากได้ Case Study และเคล็ดลับที่ผมใช้จริงเพิ่มอีก ผมได้เตรียม Lead Magnet ฟรี “เคลียร์บ้าน 7 วัน ได้เงินเก็บ 5,000 บาท” ไว้ให้คุณ เพียงลงทะเบียนอีเมลที่ narudol.me แล้วคุณจะได้ทั้งไฟล์ ตัวอย่าง และเทคนิคเชิงลึกที่ผมไม่เคยแชร์ที่ไหน
เพราะการ รวยเงียบแบบญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และคุณก็สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ครับ